Categories
ผลงานของเรา

โครงการในยางแอร์พอร์ต โฮเตล จำกัด

Share :

โครงการในยางแอร์พอร์ต โฮเตล จำกัด

Categories
ผลงานของเรา

โครงการอาคารผู้ป่วยนอก 3 ชั้นโรงพยาบาลอ่าวลึก(โครงสร้างต้านเเผ่นดินไหว)

Share :

โครงการอาคารผู้ป่วยนอก 3 ชั้นโรงพยาบาลอ่าวลึก(โครงสร้างต้านเเผ่นดินไหว)

Categories
บทความและข่าวสาร

ซื้อบ้านครั้งแรก : การใช้เงินเดือนและเงินเก็บอย่างชาญฉลาด

ซื้อบ้านครั้งแรก : การใช้เงินเดือนและเงินเก็บอย่างชาญฉลาด

การซื้อบ้านครั้งแรกถือเป็นหนึ่งใน การลงทุนที่สำคัญที่สุดในชีวิต การวางแผนการเงินอย่างชาญฉลาดและการใช้เงินเดือนรวมกับเงินเก็บอย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณเป็นเจ้าของบ้านได้โดยไม่สร้างภาระหนี้หนักหรือปัญหาทางการเงินในอนาคต

บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจ วิธีใช้เงินเดือนและเงินเก็บ เพื่อเตรียมซื้อบ้านครั้งแรกอย่างมั่นคงและไม่เสี่ยงต่อปัญหาทางการเงิน


💰 1. ประเมินรายได้และเงินเก็บของคุณ

ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน คุณควรเริ่มจาก การประเมินรายได้สุทธิและเงินเก็บ:

1.1 รายได้ต่อเดือน

  • คำนวณ รายได้สุทธิ หลังหักภาษีและค่าใช้จ่ายประจำ

  • รายได้สุทธิจะเป็นตัวกำหนด วงเงินผ่อนต่อเดือน ที่คุณสามารถรับไหว

1.2 เงินเก็บ

  • ตรวจสอบเงินเก็บที่สามารถนำมาจ่าย เงินดาวน์บ้าน และค่าใช้จ่ายเริ่มต้น เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน, ค่าส่วนกลาง

ตัวอย่าง:
รายได้สุทธิ: 50,000 บาท
ค่าใช้จ่ายประจำ: 25,000 บาท
เงินเก็บสำหรับดาวน์: 500,000 บาท


🏦 2. การจัดสรรเงินเดือนอย่างชาญฉลาด

เมื่อรู้รายได้สุทธิและค่าใช้จ่ายแล้ว ควรจัดสรรเงินเดือนให้เหมาะสม:

2.1 กำหนดวงเงินผ่อนบ้าน

  • ธนาคารแนะนำให้ ค่าใช้จ่ายบ้านไม่เกิน 30–40% ของรายได้สุทธิ

  • ตัวอย่าง: รายได้ 50,000 บาท → ค่าใช้จ่ายบ้านต่อเดือนไม่เกิน 20,000 บาท

2.2 แบ่งเงินเก็บสำรองฉุกเฉิน

  • ควรมีเงินสำรองสำหรับ ค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน 3–6 เดือน ของค่าใช้จ่ายประจำ

  • เงินสำรองนี้ช่วยให้คุณปลอดภัยจากความเสี่ยงหากเกิดเหตุฉุกเฉิน

2.3 การวางแผนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ

  • ควรเผื่อค่าใช้จ่าย ค่าส่วนกลาง, ค่าประกันบ้าน, และ ค่าซ่อมบำรุง

  • การจัดสรรเงินเดือนให้สมดุลระหว่างการผ่อนบ้านและค่าใช้จ่ายประจำเป็นสิ่งสำคัญ


🏡 3. การใช้เงินเก็บเพื่อเงินดาวน์และค่าเริ่มต้น

เงินเก็บมีบทบาทสำคัญในการเป็น เงินดาวน์ สำหรับบ้านครั้งแรก:

  1. เงินดาวน์: แนะนำอย่างน้อย 10–20% ของราคาบ้าน

  2. ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอื่น ๆ: ค่าธรรมเนียมการโอน, ค่าโอนกรรมสิทธิ์, ค่าส่วนกลาง, ค่าตกแต่ง

  3. วางแผนให้พอดีกับรายได้: อย่าใช้เงินเก็บทั้งหมด ควรเหลือเงินสำรองฉุกเฉิน

ตัวอย่าง: บ้านราคา 3 ล้านบาท
ดาวน์ 10% = 300,000 บาท
ค่าโอนและค่าตกแต่ง = 50,000 บาท
รวมเงินที่ต้องเตรียม = 350,000 บาท


📊 4. การผ่อนบ้านอย่างปลอดภัยและไม่สร้างหนี้เกินตัว

4.1 เลือกระยะเวลาผ่อน

  • ระยะเวลา 15–30 ปีขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการผ่อนต่อเดือน

  • ระยะสั้น → ผ่อนหนักแต่ดอกเบี้ยต่ำ

  • ระยะยาว → ผ่อนเบาแต่ดอกเบี้ยสูง

4.2 เลือกอัตราดอกเบี้ยเหมาะสม

  • เปรียบเทียบ สินเชื่อบ้านหลายธนาคาร เพื่อหาอัตราดอกเบี้ยที่ดีที่สุด

  • เลือกแบบ ดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) หากต้องการความแน่นอน

4.3 ใช้เงินเก็บผ่อนบางส่วน

  • หากมีเงินเก็บเพียงพอ สามารถ โปะเงินก้อน เพื่อลดดอกเบี้ยและระยะเวลาผ่อน


💡 5. เคล็ดลับการวางแผนระยะยาว

  1. เริ่มเก็บเงินล่วงหน้า: วางแผน 6–12 เดือนก่อนซื้อบ้าน

  2. ใช้บัญชีแยกสำหรับเงินดาวน์: ป้องกันการใช้จ่ายเงินดาวน์โดยไม่ได้ตั้งใจ

  3. ประเมินรายได้ในอนาคต: หากมีรายได้เพิ่ม สามารถเพิ่มวงเงินผ่อนหรือโปะเงินก้อน

  4. ติดตามค่าใช้จ่ายรายเดือน: เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่ใช้จ่ายเกินความสามารถ


📝 6. สรุป

การซื้อบ้านครั้งแรกไม่ใช่เรื่องยาก แต่ ต้องวางแผนการเงินอย่างชาญฉลาด การใช้เงินเดือนและเงินเก็บอย่างมีระบบจะช่วยให้คุณ:

  • รู้ว่าผ่อนบ้านได้เดือนละเท่าไหร่

  • เตรียมเงินดาวน์และค่าใช้จ่ายเริ่มต้นได้พอดี

  • มีเงินสำรองฉุกเฉินและไม่สร้างภาระหนี้เกินตัว

  • วางแผนระยะยาวให้มั่นคง
    การวางแผนอย่างรอบคอบตั้งแต่ต้นจะช่วยให้คุณซื้อบ้านครั้งแรกได้อย่างมั่นใจและลดความกังวลเรื่องการเงินในอนาคต

สนใจสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดกระบี่ติดต่อเรา : www.chinavong.com

Categories
บทความและข่าวสาร

อยากกู้ผ่านง่าย ซื้อบ้านหลังแรกต้องรู้ 5 ข้อเกี่ยวกับ “เงินเดือนและภาระหนี้”

อยากกู้ผ่านง่าย ซื้อบ้านหลังแรกต้องรู้ 5 ข้อเกี่ยวกับ “เงินเดือนและภาระหนี้”

ภาพฝันบ้านหลังแรกจะใกล้ขึ้นทันที ถ้าเข้าใจว่าธนาคาร “มองเราอย่างไร” เวลาพิจารณาสินเชื่อบ้าน บทความนี้เล่าแบบจับต้องได้ ไม่เน้นทฤษฎีล้วน แต่ให้วิธีคิด ตารางคำนวณเร็ว และเช็กลิสต์ที่ใช้ยื่นได้จริง


สรุปสั้นก่อนลงลึก

  • ตั้งเป้า ค่างวดบ้าน ≤ 35–40% ของรายได้ต่อเดือน (หลังหักหนี้อื่น)

  • รักษา DTI/DBR (สัดส่วนหนี้ต่อรายได้) ให้อยู่ราว ≤ 40–50%

  • เตรียม เงินดาวน์ 10–20% และ ค่าใช้จ่ายวันโอนราว 3–5% ของราคาบ้าน

  • วินัยเครดิตต้องแน่น: ไม่มีค้างชำระ 12 เดือนหลังสุด

  • เอกสารรายได้/การเงินต้อง “สะอาดและสม่ำเสมอ”


1) เข้าใจ “DTI/DBR” ให้ขาด: เพดานที่ทำให้ผ่านง่าย

DTI/DBR = ยอดผ่อนหนี้รวมต่อเดือน ÷ รายได้ต่อเดือน
ธนาคารตีความต่างกันเล็กน้อย แต่ภาพรวม ไม่ควรเกิน ~40–50%

วิธีคุม DTI ให้น่ามอง

  • รวมผ่อนทุกอย่าง (รถ/บัตร/ผ่อนของ/กู้บุคคล) ให้ครบ แล้ว “ออกแบบค่างวดบ้าน” ทีหลัง

  • ตั้งกรอบ ค่างวดบ้าน ≤ 35–40% ของรายได้ (ยิ่งต่ำยิ่งผ่านง่าย)

  • ถ้า DTI สูงเกิน:
    ▸ ปิดหนี้ดอกสูง/รีไฟแนนซ์ให้ค่างวดลด ▸ เพิ่มผู้กู้ร่วมที่รายได้มั่นคง ▸ เลือกผ่อนยาวขึ้นเพื่อลดค่างวด

สูตรเร็ว

วงเงินค่างวดบ้านที่ปลอดภัย ≈ (เพดาน % × รายได้ต่อเดือน) − (ค่างวดหนี้เดิม)

ตัวอย่าง

  • รายได้ 40,000 บ./เดือน, หนี้เดิม 6,000 บ./เดือน, กำหนดเพดาน 40%

  • เพดานค่างวดรวม = 16,000 → ค่างวดบ้านที่ควรตั้ง = 10,000 บ./เดือน

ตารางมองภาพรวม (ดอกเฉลี่ย 6%/ปี, ผ่อน 30 ปี)

ค่างวด/เดือนวงเงินกู้โดยประมาณ
5,000 บ.≈ 0.84 ลบ.
10,000 บ.≈ 1.67 ลบ.
15,000 บ.≈ 2.50 ลบ.
20,000 บ.≈ 3.34 ลบ.

หมายเหตุ: ตัวเลขเป็นประมาณการ วงเงินจริงขึ้นกับอัตราดอกเบี้ย โปรโมชันธนาคาร และอายุผ่อนที่เลือก


2) เงินเดือน “เท่าไหร่ถึงพอ” และโครงสร้างรายได้แบบที่แบงก์ชอบ

ธนาคารไม่ได้ดูแค่ “ยอดเงินเดือน” แต่ให้คะแนน ความสม่ำเสมอและพิสูจน์ได้

พนักงานประจำ

  • เงินเดือนประจำ + OT/คอมมิชชัน “ที่เข้าบัญชีสม่ำเสมอ”

  • อายุงานควร ≥ 6–12 เดือน (ผ่านโปร/สัญญาถาวรยิ่งดี)

ฟรีแลนซ์/เจ้าของกิจการ

  • ดู Statement 12 เดือน + เอกสารภาษี (ภ.ง.ด.90/91) / งบการเงิน

  • รายรับต้อง “ไหลเข้าบัญชีจริง” สม่ำเสมอ

หลักคิดง่ายๆ

  • หากอยากผ่อนบ้าน 10,000 บ./เดือนแบบสบายๆ รายได้รวมควร ≥ 30,000–35,000 บ./เดือน และหนี้อื่นน้อย

เคล็ดลับทำให้รายได้ “น่าเชื่อถือ”

  • ให้เงินเดือน/รายรับเข้าบัญชีเดียวกันต่อเนื่อง

  • ลดยอดเวียนเข้า–ออกที่ไม่จำเป็นก่อนยื่น 3–6 เดือน

  • ยื่นเอกสารรายได้เสริมที่พิสูจน์ได้ (ค่าเช่า, ค่าจ้างประจำ, สัญญาจ้าง)


3) บริหาร “หนี้เดิม” ให้โปรไฟล์สะอาดก่อนยื่น

เป้าหมาย: ทำให้ DTI ต่ำลง และประวัติเครดิต “ใส”

ลงมือแบบเป็นขั้น

  • ปิดหนี้บัตร/ผ่อนของดอกสูงก่อน (ดอกแพง + ค่างวดเล็กน้อยแต่ทำ DTI ดูไม่ดี)

  • รีไฟแนนซ์/ยืดงวดหนี้รถให้ค่างวดลดลง (แม้ดอกรวมสูงขึ้น แต่ช่วยผ่านเกณฑ์)

  • งดเปิดบัตร/สินเชื่อใหม่ 2–3 เดือนก่อนยื่น

  • ใช้บัตรเครดิตไม่เกิน 30% ของวงเงิน และจ่ายเต็มตรงเวลา

  • ตรวจเครดิตบูโรล่วงหน้า 1–2 เดือน แก้ไขความผิดพลาด/เคลียร์ค้างชำระ

ธนาคารชอบผู้กู้ที่ 12 เดือนหลังสุด “ไม่เคยค้าง” และไม่มีบัญชีสถานะเสี่ยง


4) เงินดาวน์, LTV และ “ค่าใช้จ่ายวันโอน” ที่หลายคนมองข้าม

แม้มีโปร LTV สูงบ้างเป็นช่วงๆ แต่ถ้าอยากผ่อนสบายและผ่านง่าย แนะนำเตรียม เงินดาวน์ 10–20%

ค่าใช้จ่ายรอบโอน (กันไว้ ~3–5% ของราคาบ้าน)

  • ค่าโอน–จดจำนอง

  • ค่าประเมินหลักประกัน/ค่าธรรมเนียมธนาคาร

  • ประกันอัคคีภัย ปีแรก (มักบังคับ)

  • อากร/อากรแสตมป์ (ตามกรณี)

เทคนิคต่อรอง

  • ต่อรองโครงการ: ฟรีค่าโอนบางส่วน/แถมเฟอร์ฯ/ค่ากองกลาง

  • ต่อรองธนาคาร: ขอเว้น/ลดค่าธรรมเนียม และขออัตราดอก “แพ็กเกจรวม”


5) เลือก “อายุผ่อน & แพ็กเกจดอกเบี้ย” ให้เข้ากระเป๋า

  • ผ่อนยาว (เช่น 30 ปี) → ค่างวดต่ำลง (DTI สวย) แต่ดอกเบี้ยรวมสูง

  • ผ่อนสั้น → ค่างวดสูง (ผ่านยากขึ้น) แต่ปิดหนี้เร็ว ดอกเบี้ยน้อยรวม

  • ดอกบ้านนิยม โปร 3 ปีแรก: Fix/Step/อิง MRR → หลังโปรจะ “ลอยตัว”
    อย่าดูแค่ปีแรก ให้คำนวณ ค่าเฉลี่ย 3 ปีแรก + อัตราหลังโปร ด้วย

  • วางแผน รีไฟแนนซ์ช่วงปีที่ 3–5 ถ้าดอกขึ้นสูง และโปรไฟล์เราดี


ตัวอย่างครบวงจร (เห็นภาพใน 1 นาที)

เป้าหมาย: หา “ราคาบ้านที่เหมาะ” กับรายได้

  • รายได้ 40,000 บ./เดือน, หนี้เดิม 6,000 บ./เดือน

  • เพดานค่างวดรวม 40% = 16,000 → ค่างวดบ้านที่ปลอดภัย = 10,000 บ./เดือน

  • ที่ดอกเฉลี่ย 6% ผ่อน 30 ปี → กู้ได้ราว 1.67 ลบ.

  • ถ้าดาวน์ 10% → “ราคาบ้านเหมาะสม” ≈ 1.85–1.90 ลบ.

  • กันค่าใช้จ่ายวันโอน 4% ≈ 74,000 บ. (ประมาณการ)

อยากได้บ้านแพงขึ้น?
▸ เพิ่มผู้กู้ร่วม (รายได้ดี/หนี้ต่ำ) ▸ ปิดหนี้ดอกสูงบางส่วน ▸ ผ่อนยาวขึ้น (ถ้าธนาคารรองรับ)


เช็กลิสต์เอกสาร (เตรียมครบ โอกาสผ่านสูง)

พนักงานประจำ

  • สลิปเงินเดือน 3–6 เดือน + หนังสือรับรองเงินเดือน

  • Statement 6–12 เดือน (เห็นเงินเดือนเข้า/คงเหลือปลายเดือนสวย)

  • สำเนาบัตร/ทะเบียนบ้าน + ใบจอง/สัญญาจะซื้อจะขาย

ฟรีแลนซ์/เจ้าของกิจการ

  • Statement 12 เดือน (รายรับจริง สม่ำเสมอ)

  • ภาษี (ภ.ง.ด.90/91) ปีล่าสุด 1–2 ปี / งบการเงิน (ถ้ามี)

  • ทะเบียนพาณิชย์/หนังสือรับรองนิติบุคคล และเอกสารรายได้เสริมที่พิสูจน์ได้


แผน 30–60 วัน ก่อนยื่นกู้ (ทำตามนี้ทีละสัปดาห์)

สัปดาห์ 1–2

  • ตรวจเครดิตบูโร / ปรับวินัยบัตรให้ต่ำกว่า 30% ของวงเงิน

  • สรุปหนี้เดิมทั้งหมด วางแผนปิด/รีไฟแนนซ์รายการดอกสูง

สัปดาห์ 3–4

  • รวบรวมเอกสารรายได้ให้ครบ (สลิป/Statement/ภาษี)

  • ซ้อมคำนวณ DTI และค่างวดบ้านเป้าหมาย

สัปดาห์ 5–6

  • เลือก 2–3 แบงก์ที่เงื่อนไขเหมาะ (A แผนหลัก, B สำรอง)

  • ขอ Pre-Approval เพื่อรู้เพดานชัด ก่อนวางเงินจองจริง


คำถามที่พบบ่อย (ย่อและชัด)

  • เงินเดือน 20,000 บ. ซื้อบ้านได้ไหม?
    ได้ ถ้าไม่มีหนี้อื่น ค่างวดราว 30–35% = 6,000–7,000 บ./เดือน → วงเงินกู้คร่าวๆ ~1.0–1.2 ลบ. (ดอก 6%, 30 ปี)

  • มีหนี้รถอยู่ ควรยื่นเลยไหม?
    เช็ก DTI ก่อน ถ้าเกิน 45–50% รีไฟแนนซ์/ยืดงวด/โปะบางส่วนให้ค่างวดลด แล้วค่อยยื่น

  • ฟรีแลนซ์ผ่านยากไหม?
    ไม่ยาก หาก Statement สวย รายรับสม่ำเสมอ และยื่นภาษีจริงครบถ้วน


สรุป “5 ข้อที่ต้องรู้” แบบกระชับ

  1. กำหนดค่างวดบ้าน ≤ 35–40% ของรายได้ เพื่อให้ DTI ดูดี

  2. เคลียร์/ลดหนี้เดิม โดยเฉพาะดอกสูงก่อนยื่น

  3. เตรียมเงินดาวน์ 10–20% + ค่าโอน 3–5%

  4. ทำเอกสารรายได้ให้สะอาดและสม่ำเสมอ (สลิป/Statement/ภาษี)

  5. เลือกอายุผ่อนและแพ็กเกจดอกที่เหมาะ พร้อมแผนรีไฟแนนซ์ในอนาคต

ทำความเข้าใจ 5 ข้อนี้ แล้ว “ออกแบบตัวเลข” ของเราให้บาลานซ์ ระหว่างเพดานธนาคารกับคุณภาพชีวิต แค่นี้บ้านหลังแรกก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป.

สนใจสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดกระบี่ติดต่อเรา : www.chinavong.com

Categories
บทความและข่าวสาร

ธนาคารดูอะไรบ้างในการประเมินสินเชื่อบ้าน?

ธนาคารดูอะไรบ้างในการประเมินสินเชื่อบ้าน?

ไขข้อสงสัยก่อนยื่นกู้ เพื่อให้ผ่านง่าย ไม่มีสะดุด

การซื้อบ้านไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโด โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ซื้อจะต้องใช้การ ขอสินเชื่อจากธนาคาร เข้ามาช่วยในการผ่อนชำระเป็นระยะยาว ซึ่งถือเป็น “ขั้นตอนสำคัญ” ที่ต้องผ่านให้ได้ก่อนจึงจะได้เป็นเจ้าของบ้านอย่างสมบูรณ์

หลายคนที่กำลังจะยื่นกู้มักสงสัยว่า…

“ธนาคารเค้าดูอะไรบ้าง? เราเงินเดือนเท่านี้จะผ่านไหม?”
“มีหนี้บัตรเครดิตอยู่จะกระทบไหม?”
“ถ้าเป็นฟรีแลนซ์จะมีโอกาสกู้ผ่านหรือเปล่า?”

บทความนี้จะพาไป เจาะลึกว่า “ธนาคารใช้เกณฑ์อะไร” ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อบ้าน และมีอะไรบ้างที่คุณควรเตรียมให้พร้อมเพื่อให้ผ่านได้ง่ายและรวดเร็ว


🏦 ธนาคารประเมินอะไรบ้างในการพิจารณาสินเชื่อบ้าน?

1. รายได้ของผู้กู้ (Income)
  • ดูจากรายได้สุทธิ หลังหักภาระต่าง ๆ แล้ว

  • เงินเดือนประจำ / รายรับประจำ / รายได้จากธุรกิจส่วนตัว

  • เอกสารที่ใช้: สลิปเงินเดือน, หนังสือรับรองเงินเดือน, Statement ย้อนหลัง 6 เดือน

  • กรณีอาชีพอิสระ: ต้องแสดงหลักฐานรายรับที่สม่ำเสมอ เช่น บัญชีรายรับ, บิล/ใบกำกับภาษี

✅ ธนาคารส่วนใหญ่อนุมัติวงเงินโดยคิดไม่เกิน 40–50% ของรายได้รวมต่อเดือนเป็นค่างวดผ่อนบ้าน


2. ภาระหนี้สินปัจจุบัน (Debt Obligation)
  • หนี้ที่มีอยู่แล้ว เช่น หนี้บัตรเครดิต, ผ่อนรถ, ผ่อนสินเชื่อส่วนบุคคล

  • หากมีหนี้มากอยู่แล้ว อาจถูกพิจารณาให้วงเงินน้อยลง หรือไม่อนุมัติ

  • ธนาคารจะตรวจสอบจากเครดิตบูโร และรายการเดินบัญชี

⚠️ ข้อนี้มักเป็น “สาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้กู้ไม่ผ่าน” เพราะรายได้อาจพอ แต่ภาระหนี้เดิมหนักเกินไป


3. เครดิตบูโร (Credit Score)
  • ธนาคารจะเช็คว่า คุณมีประวัติการชำระหนี้อย่างไร

  • หากเคยค้างชำระ ล่าช้า หรือติดแบล็กลิสต์ในอดีต อาจส่งผลให้ถูกปฏิเสธ

  • แต่หากชำระดี มีวินัยในการจ่าย → คะแนนเครดิตดี → เพิ่มโอกาสผ่าน

📌 ควรตรวจสอบเครดิตบูโรของตัวเองล่วงหน้า (มีบริการเช็กออนไลน์) และเคลียร์หนี้ค้างให้เรียบร้อยก่อนยื่นกู้


4. มูลค่าหลักประกัน (บ้านหรือคอนโดที่จะซื้อ)
  • ธนาคารจะประเมินราคาบ้านโดยผู้เชี่ยวชาญ (Appraiser) ว่าตรงตามราคาขายจริงหรือไม่

  • ส่วนใหญ่อนุมัติวงเงินตาม มูลค่าประเมิน ไม่ใช่ราคาหน้าสัญญา

  • เช่น บ้านราคาขาย 3 ล้าน แต่มูลค่าประเมิน 2.7 ล้าน → อาจได้วงเงินไม่เต็ม

🏠 ควรสอบถามโครงการว่ามีการประเมินราคาจากธนาคารไหนบ้าง หรือใช้ราคาประเมินกรมที่ดินประกอบ


5. อายุผู้กู้
  • อายุผู้กู้ + ระยะเวลากู้ ไม่ควรเกิน 60–70 ปี (ขึ้นอยู่กับนโยบายธนาคาร)

  • เช่น หากคุณอายุ 45 ปี อาจกู้ได้ไม่เกิน 20–25 ปี

  • ผู้กู้อายุน้อยมีข้อได้เปรียบด้าน “ผ่อนระยะยาว → ค่างวดต่ำ”

🧑‍🤝‍🧑 หากอายุเกิน อาจใช้ “กู้ร่วม” กับบุตรหลาน เพื่อขยายระยะเวลาและเพิ่มวงเงินได้


6. การทำงานและสถานภาพอาชีพ
  • พนักงานประจำ = มีรายได้แน่นอน → ธนาคารให้ความมั่นใจ

  • เจ้าของกิจการ หรือฟรีแลนซ์ = ต้องมีเอกสารยืนยันรายได้แนบ เช่น ทะเบียนการค้า, รายรับบัญชีบริษัท

  • การมีงานมั่นคงในองค์กรขนาดใหญ่หรือราชการ มักเพิ่มโอกาสกู้ผ่าน


7. จำนวนเงินดาวน์ที่มี
  • ยิ่งคุณมีเงินดาวน์มาก (เช่น 20–30%) ธนาคารยิ่งมั่นใจในความสามารถในการผ่อนของคุณ

  • หากต้องการวงเงินกู้สูง (ใกล้ 100%) แต่ไม่มีเงินดาวน์เลย → โอกาสเสี่ยงที่จะไม่ผ่านสูงขึ้น

💡 แนะนำเตรียมเงินดาวน์ขั้นต่ำอย่างน้อย 10–20% เพื่อความมั่นใจในการอนุมัติ


✍️ เอกสารที่ควรเตรียมให้พร้อม

ผู้มีรายได้ประจำ ผู้ประกอบการ / อาชีพอิสระ
สำเนาบัตรประชาชน / ทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน / ทะเบียนบ้าน
สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3–6 เดือน ทะเบียนพาณิชย์ หรือ Statement ธุรกิจ
หนังสือรับรองเงินเดือน รายงานบัญชีรับ–จ่าย หรือใบกำกับภาษี
Statement ย้อนหลัง 6 เดือน Statement ย้อนหลัง 12 เดือน
สำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย สำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย

✅ สรุป: อยากให้ธนาคารอนุมัติสินเชื่อบ้าน “ต้องเตรียมให้ครบ 3 ด้าน”

  1. รายได้ชัดเจน – มีความมั่นคง

  2. ภาระหนี้ไม่หนัก – เครดิตดี

  3. เอกสารครบ – บ้านผ่านการประเมิน

การเตรียมความพร้อมก่อนยื่นกู้ไม่เพียงช่วยให้คุณผ่านง่ายขึ้น แต่ยังช่วยให้ได้วงเงินที่เหมาะสม และผ่อนสบายในระยะยาว
หากคุณวางแผนไว้ล่วงหน้า มีวินัยทางการเงิน และเลือกโครงการบ้านที่เหมาะกับกำลังผ่อนจริง ธนาคารก็พร้อมเปิดโอกาสให้คุณได้มีบ้านในฝันไม่ยากเลยครับ

สนใจสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดกระบี่ติดต่อเรา : www.chinavong.com

Categories
บทความและข่าวสาร

บ้านหลังแรกต้องรู้! 10 ขั้นตอนก่อนตัดสินใจซื้อ

บ้านหลังแรกต้องรู้! 10 ขั้นตอนก่อนตัดสินใจซื้อ

การซื้อ “บ้านหลังแรก” ถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของชีวิต เพราะนอกจากจะเป็นจุดเริ่มต้นของการมีทรัพย์สินที่มั่นคงแล้ว ยังเป็นภาระทางการเงินระยะยาวที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ หากพลาดพลั้งเพียงเล็กน้อย อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและการเงินในอนาคตได้ ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อบ้าน บทความนี้จะพาคุณไปดู 10 ขั้นตอนสำคัญที่มือใหม่ห้ามมองข้าม


ขั้นตอนที่ 1: ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน

ก่อนมองหาบ้าน ต้องรู้ก่อนว่า “เราต้องการบ้านไปเพื่ออะไร”
คำถามที่ควรถามตัวเอง ได้แก่:

  • ต้องการบ้านเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือเพื่อปล่อยเช่า/เก็งกำไร?

  • ต้องการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโด?

  • บ้านควรอยู่ใกล้ที่ทำงาน โรงเรียนลูก หรือรถไฟฟ้า?

การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยกรองตัวเลือกได้เร็วขึ้น และลดความเสี่ยงในการตัดสินใจผิดพลาด


ขั้นตอนที่ 2: ประเมินกำลังซื้อของตนเอง

รู้ราคาบ้านอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้ด้วยว่า “เราผ่อนได้แค่ไหน”
โดยทั่วไปธนาคารจะอนุมัติสินเชื่อให้ไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน

ตัวอย่าง:
รายได้ 30,000 บาท/เดือน → ยอดผ่อนที่เหมาะสม = ไม่เกิน 12,000 บาท/เดือน

ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่ควรเตรียม ได้แก่:

  • เงินดาวน์ (10–20% ของราคาบ้าน)

  • ค่าธรรมเนียมการโอน ภาษี

  • ค่าตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า

  • เงินสำรองฉุกเฉิน (อย่างน้อย 3–6 เดือนของค่าผ่อน)


ขั้นตอนที่ 3: ตรวจสอบเครดิตและวงเงินกู้

ก่อนยื่นกู้ ควรเช็กเครดิตบูโรว่ามีประวัติค้างชำระหรือไม่
หากมีหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล ควรเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อน เพื่อเพิ่มโอกาสผ่านการอนุมัติ

แนะนำให้ขอสินเชื่อแบบ Pre-Approve จากธนาคารก่อน เพื่อรู้วงเงินที่กู้ได้จริง จะได้เลือกบ้านในงบที่เหมาะสม


ขั้นตอนที่ 4: เลือกทำเลอย่างมีกลยุทธ์

ทำเลคือปัจจัยที่ส่งผลต่อทั้งคุณภาพชีวิตและมูลค่าบ้านในอนาคต ควรพิจารณา:

  • การเดินทางสะดวก ใกล้ถนนใหญ่ ทางด่วน หรือรถไฟฟ้า

  • ใกล้ที่ทำงาน โรงเรียน โรงพยาบาล และแหล่งชุมชน

  • ศักยภาพของพื้นที่ เช่น โครงการพัฒนารถไฟฟ้าสายใหม่

หลายคนพลาดเพราะเลือกบ้านราคาถูกแต่เดินทางลำบาก เสียทั้งเวลาและค่าเดินทางทุกวัน


ขั้นตอนที่ 5: เลือกประเภทบ้านให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์

เลือกแบบบ้านที่ตรงกับวิถีชีวิตของคุณ:

ประเภทบ้าน ข้อดี ข้อจำกัด
บ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอยเยอะ เป็นส่วนตัวสูง ราคาสูง ดูแลมาก
ทาวน์โฮม ราคาย่อมเยา เหมาะกับครอบครัวเล็ก พื้นที่น้อย ผนังติดเพื่อนบ้าน
คอนโด อยู่ในเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ราคาจับต้องได้ พื้นที่จำกัด เสียงรบกวน ค่าส่วนกลาง

ขั้นตอนที่ 6: สำรวจโครงการและเปรียบเทียบ

อย่าเลือกบ้านจากโฆษณาหรือโปรโมชั่นเพียงอย่างเดียว ควรเข้าไปดูโครงการจริง และเปรียบเทียบ:

  • คุณภาพงานก่อสร้างและวัสดุ

  • การออกแบบพื้นที่ใช้สอย

  • ระบบรักษาความปลอดภัย

  • ค่าบำรุงรายเดือน

  • ชื่อเสียงของผู้พัฒนาโครงการ

  • บริการหลังการขาย (Maintenance / Warranty)


ขั้นตอนที่ 7: ตรวจสอบเอกสารให้รอบคอบ

ก่อนเซ็นสัญญา ควรขอเอกสารและตรวจสอบให้ครบ:

  • ใบอนุญาตก่อสร้าง

  • โฉนดหรือสิทธิการถือครอง

  • แบบบ้านจริงและพื้นที่ใช้สอย

  • เงื่อนไขการผ่อนชำระและการโอนกรรมสิทธิ์

  • สัญญาจะซื้อจะขาย (ควรอ่านทุกบรรทัดอย่างละเอียด)


ขั้นตอนที่ 8: ยื่นขอสินเชื่อบ้าน

เตรียมเอกสารให้พร้อมเมื่อยื่นกู้:

  • สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน

  • สลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองรายได้

  • รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน

  • เอกสารเกี่ยวกับบ้าน เช่น ใบเสนอราคาหรือสัญญาจะซื้อจะขาย

เทคนิค: ยื่นขอสินเชื่อกับหลายธนาคารเพื่อเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและโปรโมชั่น


ขั้นตอนที่ 9: โอนกรรมสิทธิ์และตรวจรับบ้าน

เมื่อสินเชื่อผ่านแล้ว ต้องดำเนินการ 2 อย่าง:

1. ตรวจรับบ้าน

  • ตรวจสอบโครงสร้าง ผนัง พื้น สุขภัณฑ์ ระบบไฟฟ้า

  • ขอ checklist รายการตรวจรับบ้านจากโครงการ

2. โอนกรรมสิทธิ์

  • นัดโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน

  • ชำระเงินดาวน์และค่าธรรมเนียม

  • ธนาคารจะชำระส่วนที่เหลือให้กับผู้ขาย


ขั้นตอนที่ 10: วางแผนชีวิตและงบตกแต่ง

หลังจากกลายเป็นเจ้าของบ้านแล้ว ต้องเตรียม:

  • งบสำหรับตกแต่งและซื้อเฟอร์นิเจอร์

  • ค่าบำรุงรักษารายเดือน เช่น ค่าส่วนกลาง

  • ค่าน้ำ ค่าไฟ อินเทอร์เน็ต

  • เงินสำรองสำหรับเหตุฉุกเฉิน เช่น น้ำรั่ว ระบบไฟฟ้าชำรุด


สรุป: บ้านหลังแรก ต้องคิดให้ครบ

บ้านไม่ใช่แค่ “ที่อยู่” แต่คือ “ภาระผูกพันระยะยาว”
การตัดสินใจที่ดีต้องมีทั้งข้อมูลครบถ้วน การวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ และการเปรียบเทียบอย่างละเอียด

หากคุณกำลังวางแผนจะมีบ้านหลังแรกในเร็ว ๆ นี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นคู่มือเริ่มต้นที่ทำให้คุณมั่นใจ และไม่พลาดสิ่งสำคัญในการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต

สนใจสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดกระบี่ติดต่อเรา : www.chinavong.com

Categories
บทความและข่าวสาร

เข้าใจ “สัญญาจะซื้อจะขายบ้าน”

เข้าใจ “สัญญาจะซื้อจะขายบ้าน”

อ่านให้รอบ ก่อนลงชื่อ เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

การซื้อบ้านไม่ใช่เพียงแค่การเลือกทำเลและจ่ายเงินดาวน์ แต่ยังเกี่ยวข้องกับเอกสารทางกฎหมายที่สำคัญอย่าง “สัญญาจะซื้อจะขายบ้าน” ซึ่งเปรียบเสมือนพันธสัญญาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่ผูกพันทั้งสองฝ่ายอย่างเป็นทางการ

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจทีละส่วนในสัญญาให้ชัดเจนก่อนที่คุณจะ “ลงชื่อ” เพราะลายเซ็นของคุณอาจหมายถึงพันธะที่มีมูลค่าหลายล้านบาท


📝 สัญญาจะซื้อจะขายบ้าน คืออะไร?

คือเอกสารที่ผู้ซื้อและผู้ขาย (หรือโครงการบ้าน) ตกลงร่วมกันว่า

  • ผู้ซื้อจะซื้อบ้านหรือที่อยู่อาศัยในราคาที่กำหนด

  • ผู้ขายจะส่งมอบทรัพย์สินให้ตามเงื่อนไข เช่น วันที่โอนกรรมสิทธิ์, สภาพบ้าน, ราคา ฯลฯ

โดยมีผลผูกพันทางกฎหมายทั้ง 2 ฝ่าย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตาม อาจถูกฟ้องร้องหรือเรียกค่าเสียหายได้


🔍 จุดสำคัญในสัญญาที่ต้องอ่านอย่างรอบคอบ

1. รายละเอียดของบ้าน
  • ประเภทบ้าน (บ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม ฯลฯ)

  • ขนาดที่ดินและพื้นที่ใช้สอย

  • แปลนบ้าน และรายการวัสดุ/อุปกรณ์ที่แถม

  • ตำแหน่งบ้าน (เลขที่แปลง, เลขที่บ้าน)

✔️ ตรวจสอบให้ตรงกับที่ตกลงไว้


2. ราคาซื้อขาย และวิธีการชำระเงิน
  • ราคาบ้านเต็มจำนวน

  • เงินจอง / เงินทำสัญญา / เงินดาวน์

  • กำหนดชำระแต่ละงวด

  • วิธีชำระ (เงินสด, โอนผ่านธนาคาร, กู้)

✔️ ตรวจสอบยอดรวม และวันครบกำหนดทุกงวด


3. การโอนกรรมสิทธิ์
  • วันที่นัดโอน

  • ผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายวันโอน (เช่น ค่าธรรมเนียม, ภาษี, ค่าจดจำนอง)

  • กรณีผู้ซื้อกู้ไม่ผ่าน จะคืนเงินหรือไม่ และคืนเท่าไร

✔️ อ่านเงื่อนไขให้ชัด โดยเฉพาะกรณีที่กู้ไม่ผ่าน


4. เงื่อนไขการยกเลิกสัญญา
  • ฝ่ายใดผิดสัญญา และมีบทลงโทษอย่างไร

  • การคืนเงินดาวน์ / เงินจอง

  • การบอกเลิกสัญญาโดยไม่มีความผิด

✔️ อย่ามองข้าม – บางโครงการหักเงินดาวน์ 10–30% หากยกเลิก


5. เงื่อนไขการส่งมอบบ้าน
  • วันส่งมอบ

  • การตรวจรับบ้าน

  • การแก้ไขข้อบกพร่องก่อนโอน

  • ใบรับประกันบ้าน, โครงสร้าง, ระบบไฟ–น้ำ

✔️ ควรมีการระบุเรื่องการรับประกันไว้อย่างชัดเจน


6. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่รวมในราคาบ้าน
  • ค่าติดตั้งมิเตอร์น้ำ–ไฟ

  • ค่าบริการส่วนกลางรายปี

  • ค่าขนของ/ค่าดำเนินการ

  • ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ

✔️ โครงการควรชี้แจงให้ชัดเจนว่ามีค่าใช้จ่ายใดเพิ่มเติม


📌 คำแนะนำก่อนลงชื่อในสัญญา

  • อ่านทุกหน้า ทุกบรรทัด แม้จะดูเป็นภาษากฎหมาย

  • อย่าลงชื่อทันทีหากยังไม่เข้าใจ ขอเวลาอ่านหรือปรึกษาทนายได้

  • ขอสำเนาสัญญาไปอ่านที่บ้าน หรือถ่ายภาพไว้เพื่อตรวจสอบ

  • อย่าหลงเชื่อคำพูดด้วยวาจาโดยไม่มีลายลักษณ์อักษร

  • เก็บหลักฐานทุกอย่าง ทั้งสัญญา ใบเสร็จ และข้อความจากโครงการ


✅ สรุป

“สัญญาจะซื้อจะขายบ้าน” ไม่ใช่เอกสารธรรมดา แต่เป็นข้อตกลงที่มีผลทางกฎหมายระยะยาว
การลงชื่อแบบไม่อ่านหรือไม่เข้าใจ อาจทำให้คุณเสียเปรียบในอนาคตทั้งเรื่องเงินและสิทธิ

บ้านคือทรัพย์สินใหญ่ที่สุดในชีวิตของใครหลายคน อ่านให้รอบ เข้าใจให้ลึก ก่อนเซ็นชื่อทุกครั้ง

สนใจสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดกระบี่ติดต่อเรา : www.chinavong.com

Categories
บทความและข่าวสาร

สิทธิ์บ้านล้านหลัง ของ ธอส. คืออะไร? เหมาะกับใครบ้าง?

สิทธิ์บ้านล้านหลัง ของ ธอส. คืออะไร? เหมาะกับใครบ้าง?

หลายคนฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ก็มักติดเรื่อง “เงินเดือนน้อย กู้ไม่ผ่าน” หรือ “ราคาบ้านสูงเกินกำลังผ่อน”
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จึงได้ออกโครงการที่ชื่อว่า “บ้านล้านหลัง” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือให้คนไทยมีบ้านในราคาที่จับต้องได้

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ สิทธิ์บ้านล้านหลัง อย่างละเอียด ว่าคืออะไร? ใครขอได้? เงื่อนไขเป็นยังไง? และเหมาะกับใครบ้าง?


✅ บ้านล้านหลัง คืออะไร?

“โครงการบ้านล้านหลัง” คือโครงการสินเชื่อจาก ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่สนับสนุนให้คนไทยมีบ้าน
โดยมีเป้าหมายให้คนมีรายได้น้อย หรือผู้เริ่มทำงานสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสม
ด้วยวงเงินกู้ไม่สูงมาก (บ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท) แต่ให้ ผ่อนนาน ดอกเบี้ยต่ำ


📌 วัตถุประสงค์ของโครงการ

  • ลดความเหลื่อมล้ำด้านที่อยู่อาศัย

  • สนับสนุนการมีบ้านหลังแรก

  • ช่วยคนที่ไม่เคยมีบ้านมาก่อน หรือยังไม่สามารถกู้ผ่านในระบบปกติ


💰 สิทธิ์และเงื่อนไขหลัก

รายละเอียด เงื่อนไข
วงเงินกู้ ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
ระยะเวลาผ่อน สูงสุด 40 ปี
ดอกเบี้ย พิเศษต่ำสุด 3 ปีแรก เช่น 1.99% หรือ 3% ต่อปี (แล้วแต่ช่วงโครงการ)
รายได้ผู้กู้ ส่วนใหญ่จำกัดไม่เกิน 25,000–30,000 บาท/เดือน
ผู้กู้ร่วมได้ ได้ เพื่อเพิ่มวงเงินกู้
ต้องไม่เคยมีบ้าน ใช่ (บ้านหลังแรก)

⚠️ หมายเหตุ: เงื่อนไขอาจเปลี่ยนแปลงตามเฟสที่เปิดรับสมัคร เช่น บ้านล้านหลัง เฟส 2 เป็นต้น


🏡 ที่อยู่อาศัยที่เข้าร่วมโครงการได้

  • บ้านจัดสรร / ทาวน์โฮม / คอนโดมิเนียม ที่ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท

  • ต้องเป็นบ้านใหม่ / บ้านมือสองที่ยังไม่โอน

  • อยู่ในโครงการที่ ธอส. หรือกรมที่ดินรับรอง


👥 ใครบ้างที่เหมาะกับสิทธิ์นี้?

  1. ผู้มีรายได้น้อย–ปานกลาง (ไม่เกิน 25,000–30,000 บาท/เดือน)

  2. พนักงานเริ่มต้นทำงาน หรือเพิ่งเริ่มเก็บเงิน

  3. ผู้ที่ยังไม่เคยมีบ้านมาก่อน (ซื้อบ้านหลังแรก)

  4. คนที่มีภาระผ่อนรถ / หนี้น้อย แต่ยังไม่ผ่านกู้ปกติ

  5. คู่รัก / ครอบครัวเล็กที่อยากเริ่มต้นมีบ้าน


📝 ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

  • สำเนาบัตรประชาชน / สำเนาทะเบียนบ้าน

  • สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3–6 เดือน หรือหนังสือรับรองรายได้

  • Statement ธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน

  • เอกสารแสดงทรัพย์ที่ต้องการซื้อ เช่น ใบจองบ้าน, สำเนาโฉนด


📌 วิธีสมัครใช้สิทธิ์

  1. ตรวจสอบช่วงเวลาเปิดโครงการ (ผ่านเว็บไซต์ ธอส. หรือเพจทางการ)

  2. เลือกบ้าน/โครงการที่เข้าเงื่อนไข

  3. เตรียมเอกสารและสมัครกู้กับ ธอส. โดยตรง

  4. รอผลอนุมัติ และนัดโอนกรรมสิทธิ์กับกรมที่ดิน


✅ ข้อดีของโครงการบ้านล้านหลัง

  • ดอกเบี้ยต่ำ ช่วยให้ผ่อนสบายในช่วงเริ่มต้น

  • วงเงินไม่สูงมาก เหมาะกับผู้เริ่มต้นมีภาระ

  • ไม่ต้องมีเงินเดือนสูงก็สามารถมีบ้านได้

  • ผ่อนได้นานถึง 40 ปี → ทำให้ค่างวดต่ำ


⚠️ ข้อควรระวัง

  • บ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้าน → ทำเลอาจอยู่ชานเมือง / ต่างจังหวัด

  • เงื่อนไขมีการปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลา → ควรติดตามข่าวจาก ธอส.

  • ต้องวางแผนรายได้รายจ่ายให้ดี เพราะยังมีภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าซ่อมแซม


🏁 สรุป

โครงการบ้านล้านหลังของ ธอส. เป็นทางเลือกที่ดีมากสำหรับผู้ที่อยากมีบ้านหลังแรกแต่มีรายได้จำกัด
ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนสบาย ดอกเบี้ยต่ำ และไม่ต้องใช้เงินเดือนสูง ก็สามารถกู้ซื้อบ้านได้

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเริ่มต้นมีบ้าน ควรติดตามประกาศรอบใหม่ของโครงการนี้ไว้ เพราะอาจเป็น “โอกาสทอง” ที่ทำให้คุณได้มีบ้านสมใจในงบที่จับต้องได้จริง

สนใจสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดกระบี่ติดต่อเรา : www.chinavong.com

Categories
บทความและข่าวสาร

เตรียมเอกสารยื่นกู้บ้านให้ครบในครั้งเดียว

เตรียมเอกสารยื่นกู้บ้านให้ครบในครั้งเดียว

ลดขั้นตอน–ไม่ต้องวิ่งหลายรอบ ให้การกู้บ้านเป็นเรื่องง่าย

หนึ่งในขั้นตอนสำคัญของการซื้อบ้านคือ “การยื่นกู้สินเชื่อกับธนาคาร” ซึ่งหากคุณเตรียมเอกสารไม่ครบ อาจทำให้ธนาคาร ปฏิเสธคำขอ, ขอเอกสารเพิ่มหลายรอบ หรือ ล่าช้าเกินกำหนดการจองบ้าน ได้

บทความนี้จะช่วยคุณ เตรียมเอกสารให้ครบ ในครั้งเดียว สำหรับการยื่นกู้บ้านกับธนาคารอย่างราบรื่น ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานประจำ ฟรีแลนซ์ หรือเจ้าของกิจการ


เอกสารพื้นฐานที่ใช้กับทุกธนาคาร

เอกสารหลักจะประกอบด้วย 3 หมวด ได้แก่:

1. เอกสารส่วนตัวของผู้กู้ (และผู้กู้ร่วมถ้ามี)
  • สำเนาบัตรประชาชน

  • สำเนาทะเบียนบ้าน

  • สำเนาทะเบียนสมรส / ใบหย่า / ใบมรณบัตร (ถ้ามี)

  • สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของคู่สมรส (แม้ไม่ได้กู้ร่วม)

2. เอกสารแสดงรายได้

สำหรับพนักงานประจำ:

  • สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3–6 เดือน

  • หนังสือรับรองเงินเดือน (ระบุเงินเดือน ตำแหน่ง ระยะเวลาทำงาน)

  • รายการเดินบัญชี (Statement) ย้อนหลัง 6 เดือน

สำหรับเจ้าของกิจการ / ธุรกิจส่วนตัว:

  • หนังสือรับรองบริษัท หรือทะเบียนพาณิชย์

  • รายการเดินบัญชี (Statement) ธุรกิจย้อนหลัง 6–12 เดือน

  • สำเนาภาษี (ภงด. 50 หรือ ภงด. 94) หรือ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

สำหรับฟรีแลนซ์ / รายได้ไม่ประจำ:

  • สัญญาจ้าง / ใบเสร็จรับเงิน / หนังสือรับรองรายได้

  • รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6–12 เดือน

  • รายการเสียภาษี (ถ้ามี)

3. เอกสารทรัพย์สินที่จะกู้
  • ใบจอง / ใบเสร็จจองบ้าน หรือสัญญาจะซื้อจะขาย

  • แปลนบ้าน / รายการวัสดุก่อสร้าง (สำหรับปลูกบ้าน)

  • สำเนาโฉนดที่ดิน หรือหนังสือกรรมสิทธิ์

  • ราคาประเมินหรือใบเสนอราคาจากโครงการ (ถ้ามี)


เอกสารเพิ่มเติมที่อาจต้องใช้

  • เอกสารภาระหนี้สินเดิม (เช่น บัตรเครดิต, สินเชื่อบุคคล, รถยนต์)

  • สำเนาสัญญากู้บ้านเดิม (กรณีรีไฟแนนซ์)

  • เอกสารยินยอมจากคู่สมรส (กรณีสมรสแต่ไม่ได้กู้ร่วม)

  • เอกสารชำระหนี้หรือโปะหนี้ก้อนอื่น (เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ)


เคล็ดลับ: เตรียมอย่างไรให้ธนาคารอนุมัติง่าย

  • เรียงเอกสารให้ชัดเจน: ใส่แฟ้มตามลำดับ – ข้อมูลส่วนตัว > รายได้ > ทรัพย์สิน

  • ใช้เอกสารฉบับจริง + สำเนาเซ็นรับรองถูกต้องทุกหน้า

  • ตรวจสอบข้อมูลต้องตรงกันทุกเอกสาร (ชื่อ, ที่อยู่, เลขที่บ้าน)

  • ไม่ปกปิดหนี้เดิม: หากธนาคารตรวจพบจะกระทบเครดิต

  • จัดเตรียม Statement ย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน โดยไม่ควรถอนเงินหมดบัญชี


ถาม–ตอบ: กู้บ้านควรเตรียมล่วงหน้านานแค่ไหน?

  • เอกสารควรเตรียมล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนยื่นจริง

  • ตรวจสอบเครดิตบูโรก่อนล่วงหน้า 1 เดือน (ผ่านแอป/ตู้เครดิตบูโร)


สรุป

การเตรียมเอกสารยื่นกู้บ้านให้ครบตั้งแต่แรก
ช่วยให้คุณ ประหยัดเวลา, ลดความเครียด, และ เพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อ

บ้านในฝันอาจอยู่ไม่ไกล เพียงแค่คุณเตรียมเอกสารให้ถูกต้องและเป็นระบบ

สนใจสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดกระบี่ติดต่อเรา : www.chinavong.com

Categories
บทความและข่าวสาร

ทำประกันบ้านหรือไม่? แบบไหนจำเป็นสำหรับผู้ซื้อบ้านใหม่

ทำประกันบ้านหรือไม่? แบบไหนจำเป็นสำหรับผู้ซื้อบ้านใหม่

สำหรับคนที่กำลังจะซื้อบ้านหลังแรก คำถามสำคัญหนึ่งที่มักเกิดขึ้นคือ
“จำเป็นต้องทำประกันบ้านหรือเปล่า?”
และ “ถ้าทำ ต้องทำประกันแบบไหนถึงจะคุ้มค่า?”

บ้านคือทรัพย์สินชิ้นใหญ่ที่มีมูลค่ามากที่สุดในชีวิตของหลายคน
การทำประกันบ้านจึงไม่ใช่แค่การ “ซื้อเพิ่ม” แต่เป็นการ “คุ้มครองการลงทุน” ที่คุณใช้เวลาหลายสิบปีในการผ่อน

ในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จัก ประเภทของประกันบ้าน, ความจำเป็น, และ แนวทางเลือกประกันให้เหมาะกับคุณที่สุด


🧯 ประกันบ้านคืออะไร?

ประกันบ้าน หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า “ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย
คือประกันที่คุ้มครองทรัพย์สินประเภท “สิ่งปลูกสร้าง” เช่น บ้าน ทาวน์โฮม อาคารชุด จากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยต่าง ๆ

เช่น:

  • ไฟไหม้

  • ฟ้าผ่า

  • การระเบิด

  • ภัยธรรมชาติ (น้ำท่วม พายุ ฯลฯ)

  • โจรกรรม

  • แผ่นดินไหว (ในบางแผน)


❗ ทำไมผู้ซื้อบ้านใหม่ควรพิจารณาทำประกันบ้าน?

เหตุผลอธิบาย
🛠️ บ้านคือทรัพย์สินใหญ่หากบ้านเสียหาย คุณต้องรับภาระค่าซ่อมทั้งหมดด้วยตัวเอง หากไม่มีประกัน
🔥 เหตุไม่คาดฝันเกิดได้เสมอไฟไหม้ ไฟฟ้าลัดวงจร หรือโจรกรรม สามารถเกิดขึ้นได้แม้จะระมัดระวังแล้วก็ตาม
🏦 กรณีกู้ซื้อบ้านกับธนาคารธนาคารมัก “บังคับทำประกันอัคคีภัยขั้นต่ำ” เพื่อคุ้มครองมูลค่าบ้านที่เป็นหลักประกัน
💸 ช่วยลดภาระการเงินในอนาคตค่าเบี้ยหลักพัน–หมื่น แต่คุ้มครองหลักล้าน

🧾 ประกันบ้านมีกี่ประเภท?

1. ประกันอัคคีภัยพื้นฐาน (Fire Insurance)

  • คุ้มครอง: ไฟไหม้, ฟ้าผ่า, การระเบิดจากแก๊ส

  • บังคับทำ เมื่อคุณกู้ซื้อบ้านกับธนาคาร

  • 📆 ส่วนมากมีอายุ 1 ปี หรือแบบเหมาจ่ายตลอดอายุสัญญากู้

2. ประกันภัยทรัพย์สิน (Home Insurance แบบครอบคลุม)

  • คุ้มครองมากกว่าอัคคีภัย ได้แก่:

    • โจรกรรม

    • น้ำรั่วซึม

    • น้ำท่วม

    • พายุ / ลมแรง / แผ่นดินไหว

    • เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า

    • ความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก (เช่น ไฟจากบ้านเราทำบ้านคนอื่นไหม้)

  • ✅ ควรทำสำหรับคนที่ “แต่งบ้านแล้ว” หรือ “มีของมีค่าอยู่ในบ้าน”

3. ประกันภัยบ้าน+ทรัพย์สิน+ชีวิต

  • ผสมระหว่างประกันบ้านกับประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองคนผ่อน

  • หากเกิดเหตุเสียชีวิตก่อนผ่อนจบ บ้านจะถูกเคลียร์หนี้ให้ทายาท


📌 ทำประกันบ้านแบบไหนดี?

สถานการณ์ของคุณแนะนำประกันแบบไหน
กู้บ้านกับธนาคารทำประกันอัคคีภัยพื้นฐาน (บังคับ) + พิจารณาเพิ่มแบบครอบคลุม
ซื้อบ้านเงินสดควรทำแบบคุ้มครองครอบคลุม เพื่อป้องกันความเสี่ยงทั้งหมด
บ้านใหม่ที่ยังไม่เข้าอยู่เริ่มต้นด้วยประกันอัคคีภัยขั้นต่ำก่อน แล้วค่อยขยายความคุ้มครอง
บ้านตกแต่งแล้ว มีของมีค่าทำ Home Insurance แบบครอบคลุม + โจรกรรม + น้ำท่วม
ผ่อนบ้านอยู่เพิ่มประกันชีวิตผู้กู้ เพื่อลดภาระทายาทหากเกิดเหตุ

💸 ค่าเบี้ยประกันบ้านโดยประมาณ

ประเภทบ้านเบี้ยต่อปี (โดยประมาณ)
บ้านเดี่ยวมูลค่า 2 ล้าน1,000 – 2,000 บาท (อัคคีภัยพื้นฐาน)
บ้านพร้อมเฟอร์+เครื่องใช้ไฟฟ้า3,000 – 7,000 บาท (ครอบคลุม)
คอนโดมิเนียมเริ่มที่ 800 – 3,000 บาท

หมายเหตุ: ขึ้นอยู่กับทุนประกัน, ทำเล, แผนคุ้มครอง และบริษัทประกัน


✅ ข้อดีของการทำประกันบ้าน

  • คุ้มครองทรัพย์สินมูลค่าสูง

  • ป้องกันความเสี่ยงด้านการเงินจากเหตุไม่คาดฝัน

  • เบี้ยไม่แพงเมื่อเทียบกับมูลค่าความเสียหายที่อาจเกิด

  • ลดความเครียดและความไม่แน่นอนในชีวิต

  • ธนาคารบางแห่งให้ดอกเบี้ยพิเศษถ้าทำประกันครบวงจร


📝 สรุป : ผู้ซื้อบ้านใหม่ควรทำประกันบ้านหรือไม่?

ควรทำแน่นอน โดยเฉพาะประกันอัคคีภัยที่ธนาคารกำหนดเป็นเงื่อนไขบังคับ
ส่วนประกันเพิ่มเติม เช่น โจรกรรม น้ำท่วม หรือความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก ควรพิจารณาเพิ่มเติมตามรูปแบบการใช้บ้านและทรัพย์สินภายในบ้าน

สนใจสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดกระบี่ : www.chinavong.com