โครงการในยางแอร์พอร์ต โฮเตล จำกัด

การซื้อบ้านครั้งแรกถือเป็นหนึ่งใน การลงทุนที่สำคัญที่สุดในชีวิต การวางแผนการเงินอย่างชาญฉลาดและการใช้เงินเดือนรวมกับเงินเก็บอย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณเป็นเจ้าของบ้านได้โดยไม่สร้างภาระหนี้หนักหรือปัญหาทางการเงินในอนาคต
บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจ วิธีใช้เงินเดือนและเงินเก็บ เพื่อเตรียมซื้อบ้านครั้งแรกอย่างมั่นคงและไม่เสี่ยงต่อปัญหาทางการเงิน
ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน คุณควรเริ่มจาก การประเมินรายได้สุทธิและเงินเก็บ:
คำนวณ รายได้สุทธิ หลังหักภาษีและค่าใช้จ่ายประจำ
รายได้สุทธิจะเป็นตัวกำหนด วงเงินผ่อนต่อเดือน ที่คุณสามารถรับไหว
ตรวจสอบเงินเก็บที่สามารถนำมาจ่าย เงินดาวน์บ้าน และค่าใช้จ่ายเริ่มต้น เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน, ค่าส่วนกลาง
ตัวอย่าง:
รายได้สุทธิ: 50,000 บาท
ค่าใช้จ่ายประจำ: 25,000 บาท
เงินเก็บสำหรับดาวน์: 500,000 บาท
เมื่อรู้รายได้สุทธิและค่าใช้จ่ายแล้ว ควรจัดสรรเงินเดือนให้เหมาะสม:
ธนาคารแนะนำให้ ค่าใช้จ่ายบ้านไม่เกิน 30–40% ของรายได้สุทธิ
ตัวอย่าง: รายได้ 50,000 บาท → ค่าใช้จ่ายบ้านต่อเดือนไม่เกิน 20,000 บาท
ควรมีเงินสำรองสำหรับ ค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน 3–6 เดือน ของค่าใช้จ่ายประจำ
เงินสำรองนี้ช่วยให้คุณปลอดภัยจากความเสี่ยงหากเกิดเหตุฉุกเฉิน
ควรเผื่อค่าใช้จ่าย ค่าส่วนกลาง, ค่าประกันบ้าน, และ ค่าซ่อมบำรุง
การจัดสรรเงินเดือนให้สมดุลระหว่างการผ่อนบ้านและค่าใช้จ่ายประจำเป็นสิ่งสำคัญ
เงินเก็บมีบทบาทสำคัญในการเป็น เงินดาวน์ สำหรับบ้านครั้งแรก:
เงินดาวน์: แนะนำอย่างน้อย 10–20% ของราคาบ้าน
ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอื่น ๆ: ค่าธรรมเนียมการโอน, ค่าโอนกรรมสิทธิ์, ค่าส่วนกลาง, ค่าตกแต่ง
วางแผนให้พอดีกับรายได้: อย่าใช้เงินเก็บทั้งหมด ควรเหลือเงินสำรองฉุกเฉิน
ตัวอย่าง: บ้านราคา 3 ล้านบาท
ดาวน์ 10% = 300,000 บาท
ค่าโอนและค่าตกแต่ง = 50,000 บาท
รวมเงินที่ต้องเตรียม = 350,000 บาท
ระยะเวลา 15–30 ปีขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการผ่อนต่อเดือน
ระยะสั้น → ผ่อนหนักแต่ดอกเบี้ยต่ำ
ระยะยาว → ผ่อนเบาแต่ดอกเบี้ยสูง
เปรียบเทียบ สินเชื่อบ้านหลายธนาคาร เพื่อหาอัตราดอกเบี้ยที่ดีที่สุด
เลือกแบบ ดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) หากต้องการความแน่นอน
หากมีเงินเก็บเพียงพอ สามารถ โปะเงินก้อน เพื่อลดดอกเบี้ยและระยะเวลาผ่อน
เริ่มเก็บเงินล่วงหน้า: วางแผน 6–12 เดือนก่อนซื้อบ้าน
ใช้บัญชีแยกสำหรับเงินดาวน์: ป้องกันการใช้จ่ายเงินดาวน์โดยไม่ได้ตั้งใจ
ประเมินรายได้ในอนาคต: หากมีรายได้เพิ่ม สามารถเพิ่มวงเงินผ่อนหรือโปะเงินก้อน
ติดตามค่าใช้จ่ายรายเดือน: เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่ใช้จ่ายเกินความสามารถ
การซื้อบ้านครั้งแรกไม่ใช่เรื่องยาก แต่ ต้องวางแผนการเงินอย่างชาญฉลาด การใช้เงินเดือนและเงินเก็บอย่างมีระบบจะช่วยให้คุณ:
รู้ว่าผ่อนบ้านได้เดือนละเท่าไหร่
เตรียมเงินดาวน์และค่าใช้จ่ายเริ่มต้นได้พอดี
มีเงินสำรองฉุกเฉินและไม่สร้างภาระหนี้เกินตัว
วางแผนระยะยาวให้มั่นคง
การวางแผนอย่างรอบคอบตั้งแต่ต้นจะช่วยให้คุณซื้อบ้านครั้งแรกได้อย่างมั่นใจและลดความกังวลเรื่องการเงินในอนาคต
สนใจสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดกระบี่ติดต่อเรา : www.chinavong.com
ภาพฝันบ้านหลังแรกจะใกล้ขึ้นทันที ถ้าเข้าใจว่าธนาคาร “มองเราอย่างไร” เวลาพิจารณาสินเชื่อบ้าน บทความนี้เล่าแบบจับต้องได้ ไม่เน้นทฤษฎีล้วน แต่ให้วิธีคิด ตารางคำนวณเร็ว และเช็กลิสต์ที่ใช้ยื่นได้จริง
ตั้งเป้า ค่างวดบ้าน ≤ 35–40% ของรายได้ต่อเดือน (หลังหักหนี้อื่น)
รักษา DTI/DBR (สัดส่วนหนี้ต่อรายได้) ให้อยู่ราว ≤ 40–50%
เตรียม เงินดาวน์ 10–20% และ ค่าใช้จ่ายวันโอนราว 3–5% ของราคาบ้าน
วินัยเครดิตต้องแน่น: ไม่มีค้างชำระ 12 เดือนหลังสุด
เอกสารรายได้/การเงินต้อง “สะอาดและสม่ำเสมอ”
DTI/DBR = ยอดผ่อนหนี้รวมต่อเดือน ÷ รายได้ต่อเดือน
ธนาคารตีความต่างกันเล็กน้อย แต่ภาพรวม ไม่ควรเกิน ~40–50%
วิธีคุม DTI ให้น่ามอง
รวมผ่อนทุกอย่าง (รถ/บัตร/ผ่อนของ/กู้บุคคล) ให้ครบ แล้ว “ออกแบบค่างวดบ้าน” ทีหลัง
ตั้งกรอบ ค่างวดบ้าน ≤ 35–40% ของรายได้ (ยิ่งต่ำยิ่งผ่านง่าย)
ถ้า DTI สูงเกิน:
▸ ปิดหนี้ดอกสูง/รีไฟแนนซ์ให้ค่างวดลด ▸ เพิ่มผู้กู้ร่วมที่รายได้มั่นคง ▸ เลือกผ่อนยาวขึ้นเพื่อลดค่างวด
สูตรเร็ว
วงเงินค่างวดบ้านที่ปลอดภัย ≈ (เพดาน % × รายได้ต่อเดือน) − (ค่างวดหนี้เดิม)
ตัวอย่าง
รายได้ 40,000 บ./เดือน, หนี้เดิม 6,000 บ./เดือน, กำหนดเพดาน 40%
เพดานค่างวดรวม = 16,000 → ค่างวดบ้านที่ควรตั้ง = 10,000 บ./เดือน
ตารางมองภาพรวม (ดอกเฉลี่ย 6%/ปี, ผ่อน 30 ปี)
ค่างวด/เดือน | วงเงินกู้โดยประมาณ |
---|---|
5,000 บ. | ≈ 0.84 ลบ. |
10,000 บ. | ≈ 1.67 ลบ. |
15,000 บ. | ≈ 2.50 ลบ. |
20,000 บ. | ≈ 3.34 ลบ. |
หมายเหตุ: ตัวเลขเป็นประมาณการ วงเงินจริงขึ้นกับอัตราดอกเบี้ย โปรโมชันธนาคาร และอายุผ่อนที่เลือก
ธนาคารไม่ได้ดูแค่ “ยอดเงินเดือน” แต่ให้คะแนน ความสม่ำเสมอและพิสูจน์ได้
พนักงานประจำ
เงินเดือนประจำ + OT/คอมมิชชัน “ที่เข้าบัญชีสม่ำเสมอ”
อายุงานควร ≥ 6–12 เดือน (ผ่านโปร/สัญญาถาวรยิ่งดี)
ฟรีแลนซ์/เจ้าของกิจการ
ดู Statement 12 เดือน + เอกสารภาษี (ภ.ง.ด.90/91) / งบการเงิน
รายรับต้อง “ไหลเข้าบัญชีจริง” สม่ำเสมอ
หลักคิดง่ายๆ
หากอยากผ่อนบ้าน 10,000 บ./เดือนแบบสบายๆ รายได้รวมควร ≥ 30,000–35,000 บ./เดือน และหนี้อื่นน้อย
เคล็ดลับทำให้รายได้ “น่าเชื่อถือ”
ให้เงินเดือน/รายรับเข้าบัญชีเดียวกันต่อเนื่อง
ลดยอดเวียนเข้า–ออกที่ไม่จำเป็นก่อนยื่น 3–6 เดือน
ยื่นเอกสารรายได้เสริมที่พิสูจน์ได้ (ค่าเช่า, ค่าจ้างประจำ, สัญญาจ้าง)
เป้าหมาย: ทำให้ DTI ต่ำลง และประวัติเครดิต “ใส”
ลงมือแบบเป็นขั้น
ปิดหนี้บัตร/ผ่อนของดอกสูงก่อน (ดอกแพง + ค่างวดเล็กน้อยแต่ทำ DTI ดูไม่ดี)
รีไฟแนนซ์/ยืดงวดหนี้รถให้ค่างวดลดลง (แม้ดอกรวมสูงขึ้น แต่ช่วยผ่านเกณฑ์)
งดเปิดบัตร/สินเชื่อใหม่ 2–3 เดือนก่อนยื่น
ใช้บัตรเครดิตไม่เกิน 30% ของวงเงิน และจ่ายเต็มตรงเวลา
ตรวจเครดิตบูโรล่วงหน้า 1–2 เดือน แก้ไขความผิดพลาด/เคลียร์ค้างชำระ
ธนาคารชอบผู้กู้ที่ 12 เดือนหลังสุด “ไม่เคยค้าง” และไม่มีบัญชีสถานะเสี่ยง
แม้มีโปร LTV สูงบ้างเป็นช่วงๆ แต่ถ้าอยากผ่อนสบายและผ่านง่าย แนะนำเตรียม เงินดาวน์ 10–20%
ค่าใช้จ่ายรอบโอน (กันไว้ ~3–5% ของราคาบ้าน)
ค่าโอน–จดจำนอง
ค่าประเมินหลักประกัน/ค่าธรรมเนียมธนาคาร
ประกันอัคคีภัย ปีแรก (มักบังคับ)
อากร/อากรแสตมป์ (ตามกรณี)
เทคนิคต่อรอง
ต่อรองโครงการ: ฟรีค่าโอนบางส่วน/แถมเฟอร์ฯ/ค่ากองกลาง
ต่อรองธนาคาร: ขอเว้น/ลดค่าธรรมเนียม และขออัตราดอก “แพ็กเกจรวม”
ผ่อนยาว (เช่น 30 ปี) → ค่างวดต่ำลง (DTI สวย) แต่ดอกเบี้ยรวมสูง
ผ่อนสั้น → ค่างวดสูง (ผ่านยากขึ้น) แต่ปิดหนี้เร็ว ดอกเบี้ยน้อยรวม
ดอกบ้านนิยม โปร 3 ปีแรก: Fix/Step/อิง MRR → หลังโปรจะ “ลอยตัว”
อย่าดูแค่ปีแรก ให้คำนวณ ค่าเฉลี่ย 3 ปีแรก + อัตราหลังโปร ด้วย
วางแผน รีไฟแนนซ์ช่วงปีที่ 3–5 ถ้าดอกขึ้นสูง และโปรไฟล์เราดี
เป้าหมาย: หา “ราคาบ้านที่เหมาะ” กับรายได้
รายได้ 40,000 บ./เดือน, หนี้เดิม 6,000 บ./เดือน
เพดานค่างวดรวม 40% = 16,000 → ค่างวดบ้านที่ปลอดภัย = 10,000 บ./เดือน
ที่ดอกเฉลี่ย 6% ผ่อน 30 ปี → กู้ได้ราว 1.67 ลบ.
ถ้าดาวน์ 10% → “ราคาบ้านเหมาะสม” ≈ 1.85–1.90 ลบ.
กันค่าใช้จ่ายวันโอน 4% ≈ 74,000 บ. (ประมาณการ)
อยากได้บ้านแพงขึ้น?
▸ เพิ่มผู้กู้ร่วม (รายได้ดี/หนี้ต่ำ) ▸ ปิดหนี้ดอกสูงบางส่วน ▸ ผ่อนยาวขึ้น (ถ้าธนาคารรองรับ)
พนักงานประจำ
สลิปเงินเดือน 3–6 เดือน + หนังสือรับรองเงินเดือน
Statement 6–12 เดือน (เห็นเงินเดือนเข้า/คงเหลือปลายเดือนสวย)
สำเนาบัตร/ทะเบียนบ้าน + ใบจอง/สัญญาจะซื้อจะขาย
ฟรีแลนซ์/เจ้าของกิจการ
Statement 12 เดือน (รายรับจริง สม่ำเสมอ)
ภาษี (ภ.ง.ด.90/91) ปีล่าสุด 1–2 ปี / งบการเงิน (ถ้ามี)
ทะเบียนพาณิชย์/หนังสือรับรองนิติบุคคล และเอกสารรายได้เสริมที่พิสูจน์ได้
สัปดาห์ 1–2
ตรวจเครดิตบูโร / ปรับวินัยบัตรให้ต่ำกว่า 30% ของวงเงิน
สรุปหนี้เดิมทั้งหมด วางแผนปิด/รีไฟแนนซ์รายการดอกสูง
สัปดาห์ 3–4
รวบรวมเอกสารรายได้ให้ครบ (สลิป/Statement/ภาษี)
ซ้อมคำนวณ DTI และค่างวดบ้านเป้าหมาย
สัปดาห์ 5–6
เลือก 2–3 แบงก์ที่เงื่อนไขเหมาะ (A แผนหลัก, B สำรอง)
ขอ Pre-Approval เพื่อรู้เพดานชัด ก่อนวางเงินจองจริง
เงินเดือน 20,000 บ. ซื้อบ้านได้ไหม?
ได้ ถ้าไม่มีหนี้อื่น ค่างวดราว 30–35% = 6,000–7,000 บ./เดือน → วงเงินกู้คร่าวๆ ~1.0–1.2 ลบ. (ดอก 6%, 30 ปี)
มีหนี้รถอยู่ ควรยื่นเลยไหม?
เช็ก DTI ก่อน ถ้าเกิน 45–50% รีไฟแนนซ์/ยืดงวด/โปะบางส่วนให้ค่างวดลด แล้วค่อยยื่น
ฟรีแลนซ์ผ่านยากไหม?
ไม่ยาก หาก Statement สวย รายรับสม่ำเสมอ และยื่นภาษีจริงครบถ้วน
กำหนดค่างวดบ้าน ≤ 35–40% ของรายได้ เพื่อให้ DTI ดูดี
เคลียร์/ลดหนี้เดิม โดยเฉพาะดอกสูงก่อนยื่น
เตรียมเงินดาวน์ 10–20% + ค่าโอน 3–5%
ทำเอกสารรายได้ให้สะอาดและสม่ำเสมอ (สลิป/Statement/ภาษี)
เลือกอายุผ่อนและแพ็กเกจดอกที่เหมาะ พร้อมแผนรีไฟแนนซ์ในอนาคต
ทำความเข้าใจ 5 ข้อนี้ แล้ว “ออกแบบตัวเลข” ของเราให้บาลานซ์ ระหว่างเพดานธนาคารกับคุณภาพชีวิต แค่นี้บ้านหลังแรกก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป.
ไขข้อสงสัยก่อนยื่นกู้ เพื่อให้ผ่านง่าย ไม่มีสะดุด
การซื้อบ้านไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโด โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ซื้อจะต้องใช้การ ขอสินเชื่อจากธนาคาร เข้ามาช่วยในการผ่อนชำระเป็นระยะยาว ซึ่งถือเป็น “ขั้นตอนสำคัญ” ที่ต้องผ่านให้ได้ก่อนจึงจะได้เป็นเจ้าของบ้านอย่างสมบูรณ์
หลายคนที่กำลังจะยื่นกู้มักสงสัยว่า…
“ธนาคารเค้าดูอะไรบ้าง? เราเงินเดือนเท่านี้จะผ่านไหม?”
“มีหนี้บัตรเครดิตอยู่จะกระทบไหม?”
“ถ้าเป็นฟรีแลนซ์จะมีโอกาสกู้ผ่านหรือเปล่า?”
บทความนี้จะพาไป เจาะลึกว่า “ธนาคารใช้เกณฑ์อะไร” ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อบ้าน และมีอะไรบ้างที่คุณควรเตรียมให้พร้อมเพื่อให้ผ่านได้ง่ายและรวดเร็ว
ดูจากรายได้สุทธิ หลังหักภาระต่าง ๆ แล้ว
เงินเดือนประจำ / รายรับประจำ / รายได้จากธุรกิจส่วนตัว
เอกสารที่ใช้: สลิปเงินเดือน, หนังสือรับรองเงินเดือน, Statement ย้อนหลัง 6 เดือน
กรณีอาชีพอิสระ: ต้องแสดงหลักฐานรายรับที่สม่ำเสมอ เช่น บัญชีรายรับ, บิล/ใบกำกับภาษี
✅ ธนาคารส่วนใหญ่อนุมัติวงเงินโดยคิดไม่เกิน 40–50% ของรายได้รวมต่อเดือนเป็นค่างวดผ่อนบ้าน
หนี้ที่มีอยู่แล้ว เช่น หนี้บัตรเครดิต, ผ่อนรถ, ผ่อนสินเชื่อส่วนบุคคล
หากมีหนี้มากอยู่แล้ว อาจถูกพิจารณาให้วงเงินน้อยลง หรือไม่อนุมัติ
ธนาคารจะตรวจสอบจากเครดิตบูโร และรายการเดินบัญชี
⚠️ ข้อนี้มักเป็น “สาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้กู้ไม่ผ่าน” เพราะรายได้อาจพอ แต่ภาระหนี้เดิมหนักเกินไป
ธนาคารจะเช็คว่า คุณมีประวัติการชำระหนี้อย่างไร
หากเคยค้างชำระ ล่าช้า หรือติดแบล็กลิสต์ในอดีต อาจส่งผลให้ถูกปฏิเสธ
แต่หากชำระดี มีวินัยในการจ่าย → คะแนนเครดิตดี → เพิ่มโอกาสผ่าน
📌 ควรตรวจสอบเครดิตบูโรของตัวเองล่วงหน้า (มีบริการเช็กออนไลน์) และเคลียร์หนี้ค้างให้เรียบร้อยก่อนยื่นกู้
ธนาคารจะประเมินราคาบ้านโดยผู้เชี่ยวชาญ (Appraiser) ว่าตรงตามราคาขายจริงหรือไม่
ส่วนใหญ่อนุมัติวงเงินตาม มูลค่าประเมิน ไม่ใช่ราคาหน้าสัญญา
เช่น บ้านราคาขาย 3 ล้าน แต่มูลค่าประเมิน 2.7 ล้าน → อาจได้วงเงินไม่เต็ม
🏠 ควรสอบถามโครงการว่ามีการประเมินราคาจากธนาคารไหนบ้าง หรือใช้ราคาประเมินกรมที่ดินประกอบ
อายุผู้กู้ + ระยะเวลากู้ ไม่ควรเกิน 60–70 ปี (ขึ้นอยู่กับนโยบายธนาคาร)
เช่น หากคุณอายุ 45 ปี อาจกู้ได้ไม่เกิน 20–25 ปี
ผู้กู้อายุน้อยมีข้อได้เปรียบด้าน “ผ่อนระยะยาว → ค่างวดต่ำ”
🧑🤝🧑 หากอายุเกิน อาจใช้ “กู้ร่วม” กับบุตรหลาน เพื่อขยายระยะเวลาและเพิ่มวงเงินได้
พนักงานประจำ = มีรายได้แน่นอน → ธนาคารให้ความมั่นใจ
เจ้าของกิจการ หรือฟรีแลนซ์ = ต้องมีเอกสารยืนยันรายได้แนบ เช่น ทะเบียนการค้า, รายรับบัญชีบริษัท
การมีงานมั่นคงในองค์กรขนาดใหญ่หรือราชการ มักเพิ่มโอกาสกู้ผ่าน
ยิ่งคุณมีเงินดาวน์มาก (เช่น 20–30%) ธนาคารยิ่งมั่นใจในความสามารถในการผ่อนของคุณ
หากต้องการวงเงินกู้สูง (ใกล้ 100%) แต่ไม่มีเงินดาวน์เลย → โอกาสเสี่ยงที่จะไม่ผ่านสูงขึ้น
💡 แนะนำเตรียมเงินดาวน์ขั้นต่ำอย่างน้อย 10–20% เพื่อความมั่นใจในการอนุมัติ
ผู้มีรายได้ประจำ | ผู้ประกอบการ / อาชีพอิสระ |
---|---|
สำเนาบัตรประชาชน / ทะเบียนบ้าน | สำเนาบัตรประชาชน / ทะเบียนบ้าน |
สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3–6 เดือน | ทะเบียนพาณิชย์ หรือ Statement ธุรกิจ |
หนังสือรับรองเงินเดือน | รายงานบัญชีรับ–จ่าย หรือใบกำกับภาษี |
Statement ย้อนหลัง 6 เดือน | Statement ย้อนหลัง 12 เดือน |
สำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย | สำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย |
รายได้ชัดเจน – มีความมั่นคง
ภาระหนี้ไม่หนัก – เครดิตดี
เอกสารครบ – บ้านผ่านการประเมิน
การเตรียมความพร้อมก่อนยื่นกู้ไม่เพียงช่วยให้คุณผ่านง่ายขึ้น แต่ยังช่วยให้ได้วงเงินที่เหมาะสม และผ่อนสบายในระยะยาว
หากคุณวางแผนไว้ล่วงหน้า มีวินัยทางการเงิน และเลือกโครงการบ้านที่เหมาะกับกำลังผ่อนจริง ธนาคารก็พร้อมเปิดโอกาสให้คุณได้มีบ้านในฝันไม่ยากเลยครับ
สนใจสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดกระบี่ติดต่อเรา : www.chinavong.com
การซื้อ “บ้านหลังแรก” ถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของชีวิต เพราะนอกจากจะเป็นจุดเริ่มต้นของการมีทรัพย์สินที่มั่นคงแล้ว ยังเป็นภาระทางการเงินระยะยาวที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ หากพลาดพลั้งเพียงเล็กน้อย อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและการเงินในอนาคตได้ ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อบ้าน บทความนี้จะพาคุณไปดู 10 ขั้นตอนสำคัญที่มือใหม่ห้ามมองข้าม
ก่อนมองหาบ้าน ต้องรู้ก่อนว่า “เราต้องการบ้านไปเพื่ออะไร”
คำถามที่ควรถามตัวเอง ได้แก่:
ต้องการบ้านเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือเพื่อปล่อยเช่า/เก็งกำไร?
ต้องการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโด?
บ้านควรอยู่ใกล้ที่ทำงาน โรงเรียนลูก หรือรถไฟฟ้า?
การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยกรองตัวเลือกได้เร็วขึ้น และลดความเสี่ยงในการตัดสินใจผิดพลาด
รู้ราคาบ้านอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้ด้วยว่า “เราผ่อนได้แค่ไหน”
โดยทั่วไปธนาคารจะอนุมัติสินเชื่อให้ไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน
ตัวอย่าง:
รายได้ 30,000 บาท/เดือน → ยอดผ่อนที่เหมาะสม = ไม่เกิน 12,000 บาท/เดือน
ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่ควรเตรียม ได้แก่:
เงินดาวน์ (10–20% ของราคาบ้าน)
ค่าธรรมเนียมการโอน ภาษี
ค่าตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า
เงินสำรองฉุกเฉิน (อย่างน้อย 3–6 เดือนของค่าผ่อน)
ก่อนยื่นกู้ ควรเช็กเครดิตบูโรว่ามีประวัติค้างชำระหรือไม่
หากมีหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล ควรเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อน เพื่อเพิ่มโอกาสผ่านการอนุมัติ
แนะนำให้ขอสินเชื่อแบบ Pre-Approve จากธนาคารก่อน เพื่อรู้วงเงินที่กู้ได้จริง จะได้เลือกบ้านในงบที่เหมาะสม
ทำเลคือปัจจัยที่ส่งผลต่อทั้งคุณภาพชีวิตและมูลค่าบ้านในอนาคต ควรพิจารณา:
การเดินทางสะดวก ใกล้ถนนใหญ่ ทางด่วน หรือรถไฟฟ้า
ใกล้ที่ทำงาน โรงเรียน โรงพยาบาล และแหล่งชุมชน
ศักยภาพของพื้นที่ เช่น โครงการพัฒนารถไฟฟ้าสายใหม่
หลายคนพลาดเพราะเลือกบ้านราคาถูกแต่เดินทางลำบาก เสียทั้งเวลาและค่าเดินทางทุกวัน
เลือกแบบบ้านที่ตรงกับวิถีชีวิตของคุณ:
ประเภทบ้าน | ข้อดี | ข้อจำกัด |
---|---|---|
บ้านเดี่ยว | พื้นที่ใช้สอยเยอะ เป็นส่วนตัวสูง | ราคาสูง ดูแลมาก |
ทาวน์โฮม | ราคาย่อมเยา เหมาะกับครอบครัวเล็ก | พื้นที่น้อย ผนังติดเพื่อนบ้าน |
คอนโด | อยู่ในเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ราคาจับต้องได้ | พื้นที่จำกัด เสียงรบกวน ค่าส่วนกลาง |
อย่าเลือกบ้านจากโฆษณาหรือโปรโมชั่นเพียงอย่างเดียว ควรเข้าไปดูโครงการจริง และเปรียบเทียบ:
คุณภาพงานก่อสร้างและวัสดุ
การออกแบบพื้นที่ใช้สอย
ระบบรักษาความปลอดภัย
ค่าบำรุงรายเดือน
ชื่อเสียงของผู้พัฒนาโครงการ
บริการหลังการขาย (Maintenance / Warranty)
ก่อนเซ็นสัญญา ควรขอเอกสารและตรวจสอบให้ครบ:
ใบอนุญาตก่อสร้าง
โฉนดหรือสิทธิการถือครอง
แบบบ้านจริงและพื้นที่ใช้สอย
เงื่อนไขการผ่อนชำระและการโอนกรรมสิทธิ์
สัญญาจะซื้อจะขาย (ควรอ่านทุกบรรทัดอย่างละเอียด)
เตรียมเอกสารให้พร้อมเมื่อยื่นกู้:
สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน
สลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองรายได้
รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
เอกสารเกี่ยวกับบ้าน เช่น ใบเสนอราคาหรือสัญญาจะซื้อจะขาย
เทคนิค: ยื่นขอสินเชื่อกับหลายธนาคารเพื่อเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและโปรโมชั่น
เมื่อสินเชื่อผ่านแล้ว ต้องดำเนินการ 2 อย่าง:
1. ตรวจรับบ้าน
ตรวจสอบโครงสร้าง ผนัง พื้น สุขภัณฑ์ ระบบไฟฟ้า
ขอ checklist รายการตรวจรับบ้านจากโครงการ
2. โอนกรรมสิทธิ์
นัดโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน
ชำระเงินดาวน์และค่าธรรมเนียม
ธนาคารจะชำระส่วนที่เหลือให้กับผู้ขาย
หลังจากกลายเป็นเจ้าของบ้านแล้ว ต้องเตรียม:
งบสำหรับตกแต่งและซื้อเฟอร์นิเจอร์
ค่าบำรุงรักษารายเดือน เช่น ค่าส่วนกลาง
ค่าน้ำ ค่าไฟ อินเทอร์เน็ต
เงินสำรองสำหรับเหตุฉุกเฉิน เช่น น้ำรั่ว ระบบไฟฟ้าชำรุด
บ้านไม่ใช่แค่ “ที่อยู่” แต่คือ “ภาระผูกพันระยะยาว”
การตัดสินใจที่ดีต้องมีทั้งข้อมูลครบถ้วน การวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ และการเปรียบเทียบอย่างละเอียด
หากคุณกำลังวางแผนจะมีบ้านหลังแรกในเร็ว ๆ นี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นคู่มือเริ่มต้นที่ทำให้คุณมั่นใจ และไม่พลาดสิ่งสำคัญในการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต
สนใจสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดกระบี่ติดต่อเรา : www.chinavong.com
การซื้อบ้านไม่ใช่เพียงแค่การเลือกทำเลและจ่ายเงินดาวน์ แต่ยังเกี่ยวข้องกับเอกสารทางกฎหมายที่สำคัญอย่าง “สัญญาจะซื้อจะขายบ้าน” ซึ่งเปรียบเสมือนพันธสัญญาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่ผูกพันทั้งสองฝ่ายอย่างเป็นทางการ
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจทีละส่วนในสัญญาให้ชัดเจนก่อนที่คุณจะ “ลงชื่อ” เพราะลายเซ็นของคุณอาจหมายถึงพันธะที่มีมูลค่าหลายล้านบาท
คือเอกสารที่ผู้ซื้อและผู้ขาย (หรือโครงการบ้าน) ตกลงร่วมกันว่า
ผู้ซื้อจะซื้อบ้านหรือที่อยู่อาศัยในราคาที่กำหนด
ผู้ขายจะส่งมอบทรัพย์สินให้ตามเงื่อนไข เช่น วันที่โอนกรรมสิทธิ์, สภาพบ้าน, ราคา ฯลฯ
โดยมีผลผูกพันทางกฎหมายทั้ง 2 ฝ่าย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตาม อาจถูกฟ้องร้องหรือเรียกค่าเสียหายได้
ประเภทบ้าน (บ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม ฯลฯ)
ขนาดที่ดินและพื้นที่ใช้สอย
แปลนบ้าน และรายการวัสดุ/อุปกรณ์ที่แถม
ตำแหน่งบ้าน (เลขที่แปลง, เลขที่บ้าน)
✔️ ตรวจสอบให้ตรงกับที่ตกลงไว้
ราคาบ้านเต็มจำนวน
เงินจอง / เงินทำสัญญา / เงินดาวน์
กำหนดชำระแต่ละงวด
วิธีชำระ (เงินสด, โอนผ่านธนาคาร, กู้)
✔️ ตรวจสอบยอดรวม และวันครบกำหนดทุกงวด
วันที่นัดโอน
ผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายวันโอน (เช่น ค่าธรรมเนียม, ภาษี, ค่าจดจำนอง)
กรณีผู้ซื้อกู้ไม่ผ่าน จะคืนเงินหรือไม่ และคืนเท่าไร
✔️ อ่านเงื่อนไขให้ชัด โดยเฉพาะกรณีที่กู้ไม่ผ่าน
ฝ่ายใดผิดสัญญา และมีบทลงโทษอย่างไร
การคืนเงินดาวน์ / เงินจอง
การบอกเลิกสัญญาโดยไม่มีความผิด
✔️ อย่ามองข้าม – บางโครงการหักเงินดาวน์ 10–30% หากยกเลิก
วันส่งมอบ
การตรวจรับบ้าน
การแก้ไขข้อบกพร่องก่อนโอน
ใบรับประกันบ้าน, โครงสร้าง, ระบบไฟ–น้ำ
✔️ ควรมีการระบุเรื่องการรับประกันไว้อย่างชัดเจน
ค่าติดตั้งมิเตอร์น้ำ–ไฟ
ค่าบริการส่วนกลางรายปี
ค่าขนของ/ค่าดำเนินการ
ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ
✔️ โครงการควรชี้แจงให้ชัดเจนว่ามีค่าใช้จ่ายใดเพิ่มเติม
อ่านทุกหน้า ทุกบรรทัด แม้จะดูเป็นภาษากฎหมาย
อย่าลงชื่อทันทีหากยังไม่เข้าใจ ขอเวลาอ่านหรือปรึกษาทนายได้
ขอสำเนาสัญญาไปอ่านที่บ้าน หรือถ่ายภาพไว้เพื่อตรวจสอบ
อย่าหลงเชื่อคำพูดด้วยวาจาโดยไม่มีลายลักษณ์อักษร
เก็บหลักฐานทุกอย่าง ทั้งสัญญา ใบเสร็จ และข้อความจากโครงการ
“สัญญาจะซื้อจะขายบ้าน” ไม่ใช่เอกสารธรรมดา แต่เป็นข้อตกลงที่มีผลทางกฎหมายระยะยาว
การลงชื่อแบบไม่อ่านหรือไม่เข้าใจ อาจทำให้คุณเสียเปรียบในอนาคตทั้งเรื่องเงินและสิทธิ
❗ บ้านคือทรัพย์สินใหญ่ที่สุดในชีวิตของใครหลายคน อ่านให้รอบ เข้าใจให้ลึก ก่อนเซ็นชื่อทุกครั้ง
สนใจสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดกระบี่ติดต่อเรา : www.chinavong.com
หลายคนฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ก็มักติดเรื่อง “เงินเดือนน้อย กู้ไม่ผ่าน” หรือ “ราคาบ้านสูงเกินกำลังผ่อน”
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จึงได้ออกโครงการที่ชื่อว่า “บ้านล้านหลัง” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือให้คนไทยมีบ้านในราคาที่จับต้องได้
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ สิทธิ์บ้านล้านหลัง อย่างละเอียด ว่าคืออะไร? ใครขอได้? เงื่อนไขเป็นยังไง? และเหมาะกับใครบ้าง?
“โครงการบ้านล้านหลัง” คือโครงการสินเชื่อจาก ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่สนับสนุนให้คนไทยมีบ้าน
โดยมีเป้าหมายให้คนมีรายได้น้อย หรือผู้เริ่มทำงานสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสม
ด้วยวงเงินกู้ไม่สูงมาก (บ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท) แต่ให้ ผ่อนนาน ดอกเบี้ยต่ำ
ลดความเหลื่อมล้ำด้านที่อยู่อาศัย
สนับสนุนการมีบ้านหลังแรก
ช่วยคนที่ไม่เคยมีบ้านมาก่อน หรือยังไม่สามารถกู้ผ่านในระบบปกติ
รายละเอียด | เงื่อนไข |
---|---|
วงเงินกู้ | ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท |
ระยะเวลาผ่อน | สูงสุด 40 ปี |
ดอกเบี้ย | พิเศษต่ำสุด 3 ปีแรก เช่น 1.99% หรือ 3% ต่อปี (แล้วแต่ช่วงโครงการ) |
รายได้ผู้กู้ | ส่วนใหญ่จำกัดไม่เกิน 25,000–30,000 บาท/เดือน |
ผู้กู้ร่วมได้ | ได้ เพื่อเพิ่มวงเงินกู้ |
ต้องไม่เคยมีบ้าน | ใช่ (บ้านหลังแรก) |
⚠️ หมายเหตุ: เงื่อนไขอาจเปลี่ยนแปลงตามเฟสที่เปิดรับสมัคร เช่น บ้านล้านหลัง เฟส 2 เป็นต้น
บ้านจัดสรร / ทาวน์โฮม / คอนโดมิเนียม ที่ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
ต้องเป็นบ้านใหม่ / บ้านมือสองที่ยังไม่โอน
อยู่ในโครงการที่ ธอส. หรือกรมที่ดินรับรอง
ผู้มีรายได้น้อย–ปานกลาง (ไม่เกิน 25,000–30,000 บาท/เดือน)
พนักงานเริ่มต้นทำงาน หรือเพิ่งเริ่มเก็บเงิน
ผู้ที่ยังไม่เคยมีบ้านมาก่อน (ซื้อบ้านหลังแรก)
คนที่มีภาระผ่อนรถ / หนี้น้อย แต่ยังไม่ผ่านกู้ปกติ
คู่รัก / ครอบครัวเล็กที่อยากเริ่มต้นมีบ้าน
สำเนาบัตรประชาชน / สำเนาทะเบียนบ้าน
สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3–6 เดือน หรือหนังสือรับรองรายได้
Statement ธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน
เอกสารแสดงทรัพย์ที่ต้องการซื้อ เช่น ใบจองบ้าน, สำเนาโฉนด
ตรวจสอบช่วงเวลาเปิดโครงการ (ผ่านเว็บไซต์ ธอส. หรือเพจทางการ)
เลือกบ้าน/โครงการที่เข้าเงื่อนไข
เตรียมเอกสารและสมัครกู้กับ ธอส. โดยตรง
รอผลอนุมัติ และนัดโอนกรรมสิทธิ์กับกรมที่ดิน
ดอกเบี้ยต่ำ ช่วยให้ผ่อนสบายในช่วงเริ่มต้น
วงเงินไม่สูงมาก เหมาะกับผู้เริ่มต้นมีภาระ
ไม่ต้องมีเงินเดือนสูงก็สามารถมีบ้านได้
ผ่อนได้นานถึง 40 ปี → ทำให้ค่างวดต่ำ
บ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้าน → ทำเลอาจอยู่ชานเมือง / ต่างจังหวัด
เงื่อนไขมีการปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลา → ควรติดตามข่าวจาก ธอส.
ต้องวางแผนรายได้รายจ่ายให้ดี เพราะยังมีภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าซ่อมแซม
โครงการบ้านล้านหลังของ ธอส. เป็นทางเลือกที่ดีมากสำหรับผู้ที่อยากมีบ้านหลังแรกแต่มีรายได้จำกัด
ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนสบาย ดอกเบี้ยต่ำ และไม่ต้องใช้เงินเดือนสูง ก็สามารถกู้ซื้อบ้านได้
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเริ่มต้นมีบ้าน ควรติดตามประกาศรอบใหม่ของโครงการนี้ไว้ เพราะอาจเป็น “โอกาสทอง” ที่ทำให้คุณได้มีบ้านสมใจในงบที่จับต้องได้จริง
สนใจสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดกระบี่ติดต่อเรา : www.chinavong.com
ลดขั้นตอน–ไม่ต้องวิ่งหลายรอบ ให้การกู้บ้านเป็นเรื่องง่าย
หนึ่งในขั้นตอนสำคัญของการซื้อบ้านคือ “การยื่นกู้สินเชื่อกับธนาคาร” ซึ่งหากคุณเตรียมเอกสารไม่ครบ อาจทำให้ธนาคาร ปฏิเสธคำขอ, ขอเอกสารเพิ่มหลายรอบ หรือ ล่าช้าเกินกำหนดการจองบ้าน ได้
บทความนี้จะช่วยคุณ เตรียมเอกสารให้ครบ ในครั้งเดียว สำหรับการยื่นกู้บ้านกับธนาคารอย่างราบรื่น ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานประจำ ฟรีแลนซ์ หรือเจ้าของกิจการ
เอกสารหลักจะประกอบด้วย 3 หมวด ได้แก่:
สำเนาบัตรประชาชน
สำเนาทะเบียนบ้าน
สำเนาทะเบียนสมรส / ใบหย่า / ใบมรณบัตร (ถ้ามี)
สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของคู่สมรส (แม้ไม่ได้กู้ร่วม)
สำหรับพนักงานประจำ:
สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3–6 เดือน
หนังสือรับรองเงินเดือน (ระบุเงินเดือน ตำแหน่ง ระยะเวลาทำงาน)
รายการเดินบัญชี (Statement) ย้อนหลัง 6 เดือน
สำหรับเจ้าของกิจการ / ธุรกิจส่วนตัว:
หนังสือรับรองบริษัท หรือทะเบียนพาณิชย์
รายการเดินบัญชี (Statement) ธุรกิจย้อนหลัง 6–12 เดือน
สำเนาภาษี (ภงด. 50 หรือ ภงด. 94) หรือ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
สำหรับฟรีแลนซ์ / รายได้ไม่ประจำ:
สัญญาจ้าง / ใบเสร็จรับเงิน / หนังสือรับรองรายได้
รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6–12 เดือน
รายการเสียภาษี (ถ้ามี)
ใบจอง / ใบเสร็จจองบ้าน หรือสัญญาจะซื้อจะขาย
แปลนบ้าน / รายการวัสดุก่อสร้าง (สำหรับปลูกบ้าน)
สำเนาโฉนดที่ดิน หรือหนังสือกรรมสิทธิ์
ราคาประเมินหรือใบเสนอราคาจากโครงการ (ถ้ามี)
เอกสารภาระหนี้สินเดิม (เช่น บัตรเครดิต, สินเชื่อบุคคล, รถยนต์)
สำเนาสัญญากู้บ้านเดิม (กรณีรีไฟแนนซ์)
เอกสารยินยอมจากคู่สมรส (กรณีสมรสแต่ไม่ได้กู้ร่วม)
เอกสารชำระหนี้หรือโปะหนี้ก้อนอื่น (เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ)
เรียงเอกสารให้ชัดเจน: ใส่แฟ้มตามลำดับ – ข้อมูลส่วนตัว > รายได้ > ทรัพย์สิน
ใช้เอกสารฉบับจริง + สำเนาเซ็นรับรองถูกต้องทุกหน้า
ตรวจสอบข้อมูลต้องตรงกันทุกเอกสาร (ชื่อ, ที่อยู่, เลขที่บ้าน)
ไม่ปกปิดหนี้เดิม: หากธนาคารตรวจพบจะกระทบเครดิต
จัดเตรียม Statement ย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน โดยไม่ควรถอนเงินหมดบัญชี
เอกสารควรเตรียมล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนยื่นจริง
ตรวจสอบเครดิตบูโรก่อนล่วงหน้า 1 เดือน (ผ่านแอป/ตู้เครดิตบูโร)
การเตรียมเอกสารยื่นกู้บ้านให้ครบตั้งแต่แรก
ช่วยให้คุณ ประหยัดเวลา, ลดความเครียด, และ เพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อ
บ้านในฝันอาจอยู่ไม่ไกล เพียงแค่คุณเตรียมเอกสารให้ถูกต้องและเป็นระบบ
สนใจสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดกระบี่ติดต่อเรา : www.chinavong.com
สำหรับคนที่กำลังจะซื้อบ้านหลังแรก คำถามสำคัญหนึ่งที่มักเกิดขึ้นคือ
“จำเป็นต้องทำประกันบ้านหรือเปล่า?”
และ “ถ้าทำ ต้องทำประกันแบบไหนถึงจะคุ้มค่า?”
บ้านคือทรัพย์สินชิ้นใหญ่ที่มีมูลค่ามากที่สุดในชีวิตของหลายคน
การทำประกันบ้านจึงไม่ใช่แค่การ “ซื้อเพิ่ม” แต่เป็นการ “คุ้มครองการลงทุน” ที่คุณใช้เวลาหลายสิบปีในการผ่อน
ในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จัก ประเภทของประกันบ้าน, ความจำเป็น, และ แนวทางเลือกประกันให้เหมาะกับคุณที่สุด
ประกันบ้าน หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า “ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย“
คือประกันที่คุ้มครองทรัพย์สินประเภท “สิ่งปลูกสร้าง” เช่น บ้าน ทาวน์โฮม อาคารชุด จากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยต่าง ๆ
เช่น:
ไฟไหม้
ฟ้าผ่า
การระเบิด
ภัยธรรมชาติ (น้ำท่วม พายุ ฯลฯ)
โจรกรรม
แผ่นดินไหว (ในบางแผน)
เหตุผล | อธิบาย |
---|---|
🛠️ บ้านคือทรัพย์สินใหญ่ | หากบ้านเสียหาย คุณต้องรับภาระค่าซ่อมทั้งหมดด้วยตัวเอง หากไม่มีประกัน |
🔥 เหตุไม่คาดฝันเกิดได้เสมอ | ไฟไหม้ ไฟฟ้าลัดวงจร หรือโจรกรรม สามารถเกิดขึ้นได้แม้จะระมัดระวังแล้วก็ตาม |
🏦 กรณีกู้ซื้อบ้านกับธนาคาร | ธนาคารมัก “บังคับทำประกันอัคคีภัยขั้นต่ำ” เพื่อคุ้มครองมูลค่าบ้านที่เป็นหลักประกัน |
💸 ช่วยลดภาระการเงินในอนาคต | ค่าเบี้ยหลักพัน–หมื่น แต่คุ้มครองหลักล้าน |
คุ้มครอง: ไฟไหม้, ฟ้าผ่า, การระเบิดจากแก๊ส
✅ บังคับทำ เมื่อคุณกู้ซื้อบ้านกับธนาคาร
📆 ส่วนมากมีอายุ 1 ปี หรือแบบเหมาจ่ายตลอดอายุสัญญากู้
คุ้มครองมากกว่าอัคคีภัย ได้แก่:
โจรกรรม
น้ำรั่วซึม
น้ำท่วม
พายุ / ลมแรง / แผ่นดินไหว
เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า
ความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก (เช่น ไฟจากบ้านเราทำบ้านคนอื่นไหม้)
✅ ควรทำสำหรับคนที่ “แต่งบ้านแล้ว” หรือ “มีของมีค่าอยู่ในบ้าน”
ผสมระหว่างประกันบ้านกับประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองคนผ่อน
หากเกิดเหตุเสียชีวิตก่อนผ่อนจบ บ้านจะถูกเคลียร์หนี้ให้ทายาท
สถานการณ์ของคุณ | แนะนำประกันแบบไหน |
---|---|
กู้บ้านกับธนาคาร | ทำประกันอัคคีภัยพื้นฐาน (บังคับ) + พิจารณาเพิ่มแบบครอบคลุม |
ซื้อบ้านเงินสด | ควรทำแบบคุ้มครองครอบคลุม เพื่อป้องกันความเสี่ยงทั้งหมด |
บ้านใหม่ที่ยังไม่เข้าอยู่ | เริ่มต้นด้วยประกันอัคคีภัยขั้นต่ำก่อน แล้วค่อยขยายความคุ้มครอง |
บ้านตกแต่งแล้ว มีของมีค่า | ทำ Home Insurance แบบครอบคลุม + โจรกรรม + น้ำท่วม |
ผ่อนบ้านอยู่ | เพิ่มประกันชีวิตผู้กู้ เพื่อลดภาระทายาทหากเกิดเหตุ |
ประเภทบ้าน | เบี้ยต่อปี (โดยประมาณ) |
---|---|
บ้านเดี่ยวมูลค่า 2 ล้าน | 1,000 – 2,000 บาท (อัคคีภัยพื้นฐาน) |
บ้านพร้อมเฟอร์+เครื่องใช้ไฟฟ้า | 3,000 – 7,000 บาท (ครอบคลุม) |
คอนโดมิเนียม | เริ่มที่ 800 – 3,000 บาท |
หมายเหตุ: ขึ้นอยู่กับทุนประกัน, ทำเล, แผนคุ้มครอง และบริษัทประกัน
คุ้มครองทรัพย์สินมูลค่าสูง
ป้องกันความเสี่ยงด้านการเงินจากเหตุไม่คาดฝัน
เบี้ยไม่แพงเมื่อเทียบกับมูลค่าความเสียหายที่อาจเกิด
ลดความเครียดและความไม่แน่นอนในชีวิต
ธนาคารบางแห่งให้ดอกเบี้ยพิเศษถ้าทำประกันครบวงจร
✅ ควรทำแน่นอน โดยเฉพาะประกันอัคคีภัยที่ธนาคารกำหนดเป็นเงื่อนไขบังคับ
ส่วนประกันเพิ่มเติม เช่น โจรกรรม น้ำท่วม หรือความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก ควรพิจารณาเพิ่มเติมตามรูปแบบการใช้บ้านและทรัพย์สินภายในบ้าน
สนใจสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดกระบี่ : www.chinavong.com
บริษัท ชินวงศ์ คอนสตรัคชั่น จำกัด
เราคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยและตอบสนองความต้องการให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของคุณ ตามมาตรฐานของการออกแบบสถาปัตยกรรมตามที่ท่านต้องการ
ทีมงานก่อสร้าง และทีมวิศวกรที่ออกแบบนั้นมีความชำนาญและมีประสบการณ์ ในการออกแบบบ้าน
ช่องทางการติดต่อ
สงวนลิขสิทธิ์ ©2023. www.chinavong.com
นโยบายการใช้คุกกี้ | นโยบายความเป็นส่วนตัวของข้อมูล